‘MINT’ โชว์ ไตรมาส 4 ธุรกิจเป็นบวกครั้งแรกตั้งแต่เกิดโควิด คาดปี 65 ฟื้น!

บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (“MINT”) รายงานผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 4 ปี 2564 โดยมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานจำนวน 1.7 พันล้านบาท ซึ่งนับเป็นการกลับมาสร้างผลกำไรครั้งแรกตั้งแต่เกิดการระบาดของโรค COVID-19 เมื่อเทียบกับผลขาดทุนจากการดำเนินงานจำนวน 4.3 พันล้านบาท ในไตรมาส 4 ปี 2563 และ 2.4 พันล้านบาท ในไตรมาส 3 ปี 2564 โดยในไตรมาส 4 ปี 2564 ไมเนอร์ ฟู้ดยังคงสร้างผลกำไรอย่างต่อเนื่องติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 6
ในขณะที่กำไรสุทธิของไมเนอร์ โฮเทลส์ และไมเนอร์ ไลฟ์สไตล์พลิกฟื้นกลับมาเป็นบวกในไตรมาสนี้ โดยผลการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อนดังกล่าวเป็นผลมาจากทั้ง 3 หน่วยธุรกิจของ MINT และการฟื้นตัวของความต้องการอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการปรับโครงสร้างค่าใช้จ่ายของบริษัท
ในขณะเดียวกัน MINT ยังคงเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านสภาพคล่องและฐานะทางการเงิน และลดอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นผ่านการบริหารจัดการฐานะทางการเงิน ซึ่งรวมถึงการหมุนเวียนสินทรัพย์และการประเมินราคาที่ดินใหม่ ส่งผลให้ฐานส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้น
สำหรับปี 2564 บริษัทมีผลขาดทุนจากการดำเนินงานลดลงอยู่ที่จำนวน 9.3 พันล้านบาท เมื่อเทียบกับผลขาดทุนจากการดำเนินงานจำนวน 19.4 พันล้านบาทในปี 2563 จากความสามารถในการทำกำไรที่เพิ่มขึ้นและมาตรการการลดค่าใช้จ่ายอย่างต่อเนื่องของบริษัท ทั้งนี้ หากนับรวมรายการที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว MINT รายงานกำไรสุทธิตามงบการเงินเป็นลบอยู่ที่จำนวน 1.6 พันล้านบาท ในไตรมาส 4 ปี 2564 ซึ่งฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญจากผลขาดทุนสุทธิจำนวน 5.6 ล้านบาท ในไตรมาส 4 ปี 2563 และในปี 2564 ผลขาดทุนสุทธิตามงบการเงินอยู่ที่จำนวน 13.2 พันล้านบาท ซึ่งปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากผลขาดทุนสุทธิจำนวน 21.4 พันล้านบาท ในปี 2563
ในไตรมาส 4 ปี 2564 ไมเนอร์ โฮเทลส์มีผลการดำเนินงานที่ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยมีกำไรสุทธิพลิกฟื้นกลับมาเป็นบวกเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ไตรมาส อยู่ที่จำนวน 1.2 พันล้านบาท เมื่อเทียบกับผลขาดทุนจากการดำเนินงานจำนวน 4.7 พันล้านบาท ในไตรมาส 4 ปี 2563 และ 2.4 พันล้านบาท ในไตรมาส 3 ปี 2564
โดยผลการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อนดังกล่าวเป็นผลมาจากแนวโน้มทางธุรกิจที่แข็งแกร่งขึ้นในทุกภูมิภาค และยอดขายอสังหาริมทรัพย์ที่แข็งแกร่ง จำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากที่ไม่สามารถเดินทางได้เป็นเวลานาน ประกอบกับการเปิดโรงแรมบางแห่งซึ่งถูกปิดเป็นการชั่วคราวในปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ผลการดำเนินงานของกลุ่มโรงแรมในทวีปยุโรปเติบโตขึ้น
ในขณะที่โรงแรมในประเทศมัลดีฟส์ยังคงมีการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในไตรมาส 4 ปี 2564 โดยมีรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืน อยู่ในระดับที่สูงกว่าระดับก่อนการระบาดของโรค COVID-19 ในไตรมาส 4 ปี 2562 ถึงร้อยละ 38 จากทั้งอัตราการเข้าพักและราคาค่าห้องพักที่สูงขึ้น
ส่วนโรงแรมในประเทศไทยมีผลการดำเนินงานที่เติบโตจากทั้งปีก่อนและไตรมาสก่อน เนื่องจากประเทศไทยกลับมาเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติอีกครั้งในเดือนพฤศจิกายนภายใต้โครงการ “Test & Go” ประกอบกับการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวภายในประเทศตั้งแต่เดือนกันยายน ภายหลังการผ่อนคลายข้อจำกัดในด้านการเดินทางระหว่างจังหวัด อย่างไรก็ตาม แม้ว่าประเทศออสเตรเลียจะยังคงมีการปิดประเทศและการบังคับใช้ข้อจำกัดในการเดินทางอย่างต่อเนื่องในหลายรัฐในไตรมาส 4 ปี 2564 กลุ่มโรงแรมในประเทศออสเตรเลียยังคงมีการเติบโตของรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนในไตรมาส 4 ปี 2564 จากอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยที่สูงขึ้น
ในไตรมาส 4 ปี 2564 ไมเนอร์ ฟู้ดยังคงรายงานผลกำไรจำนวน 290 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากผลกำไรจากทั้ง 3 กลุ่มประเทศหลักของไมเนอร์ ฟู้ดทั้งในไตรมาส 4 ปี 2564 และปี 2564 ซึ่งผลการดำเนินงานดังกล่าวชะลอตัวลงจากปีก่อน แต่เติบโตขึ้นจากในไตรมาส 3 ปี 2564 โดยผลการดำเนินงานที่ชะลอตัวลงจากปีก่อนดังกล่าวเป็นผลส่วนใหญ่มาจากส่วนแบ่งขาดทุนจากกิจการร่วมค้า โดยเฉพาะเบรดทอล์ค และราคาต้นทุนปลาที่สูงขึ้นในประเทศจีน
ส่วนยอดขายต่อร้านเดิมโดยรวมลดลงเล็กน้อยในอัตราร้อยละ 1.7 เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากสภาพแวดล้อมการทำงานที่ท้าทายในประเทศจีนและออสเตรเลียท่ามกลางการระบาดของโรค COVID-19 ระลอกใหม่
อย่างไรก็ตาม ยอดขายต่อร้านเดิมโดยรวมติดลบในอัตราที่ลดลงจากไตรมาสก่อน จากที่เป็นลบร้อยละ 7.2 ในไตรมาส 3 ปี 2564 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อีกทั้ง ยอดขายต่อร้านเดิมของกลุ่มธุรกิจร้านอาหารในประเทศไทยกลับเป็นบวกในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ปี 2565 จากการผ่อนคลายข้อจำกัดในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ในประเทศไทย
เมื่อมองไปยังปี 2565 ธุรกิจของบริษัทได้เห็นถึงแนวโน้มของการฟื้นตัว โดยบริษัทได้ผ่านพ้นช่วงที่เลวร้ายที่สุดมาแล้ว และคาดว่าจะมีการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วต่อไปในอนาคตจากความต้องการที่จะเพิ่มขึ้นอย่างล้นหลาม โดยอุตสาหกรรมการโรงแรมทั่วโลกคาดว่าจะกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้งในปี 2565 จากการกระจายวัคซีนทั่วโลก และการผ่อนคลายข้อจำกัดในการเดินทางระหว่างประเทศในหลายประเทศ
หลายประเทศในทวีปยุโรปเริ่มมีการผ่อนคลายและยกเลิกข้อจำกัดในการป้องกันการระบาดของโรค COVID-19 โดยจัดให้โรค COVID-19 สายพันธุ์โอมิครอนเป็นโรคประจำถิ่น ในขณะที่ประเทศมัลดีฟส์ยังคงได้รับประโยชน์จากความการเดินทางที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้ง ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีมาตรการการปิดพรมแดนระหว่างประเทศที่เข้มงวดที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และประเทศไทยได้เปิดประเทศเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวที่ได้รับวัคซีนครบถ้วนแล้ว
สำหรับไมเนอร์ ฟู้ด การผ่อนคลายข้อจำกัดในการเดินทางและกิจกรรมทางสังคมในประเทศไทยส่งผลให้มีจำนวนลูกค้าร้านอาหารเพิ่มขึ้น ส่วนในประเทศจีน แบรนด์ริเวอร์ไซด์มีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งท่ามกลางช่วงเวลาที่มีความไม่แน่นอนสูง โดยมียอดขายที่ฟื้นตัวเกือบจะในทันทีภายหลังจากการยกเลิกมาตรการการปิดประเทศ นอกจากนี้ กลยุทธ์การปิดสาขาที่ไม่ทำกำไรก่อนหน้านี้ในประเทศออสเตรเลีย ควบคู่ไปกับการยกระดับแบรนด์และการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลช่วยผลักดันความสามารถในการทำกำไรให้สูงขึ้น ท้ายสุด มาตรการการลดต้นทุนและการลดค่าใช้จ่ายในการลงทุนจะยังคงดำเนินต่อไปเพื่อคงประสิทธิภาพในการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นในช่วงวิกฤตการระบาดของโรค COVID-19
นายดิลลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มของ MINT กล่าวว่า “ด้วยความพยายามในการขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจของเราในช่วงของการฟื้นตัวภายหลังจากช่วงเวลาที่ท้าทายมาอย่างยาวนาน นับว่าคุ้มค่าเป็นอย่างมากที่ได้เห็นการฟื้นตัวของธุรกิจที่แข็งแกร่งในทุกหน่วยธุรกิจของเรา ซึ่งสะท้อนให้เห็นเป็นกำไรสุทธิที่เป็นบวกในไตรมาสนี้ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสภาวะแวดล้อมทางธุรกิจจะยังคงท้าทาย แต่บริษัทยังคงมุ่งมั่นในการสร้างผลกำไรในปี 2565 ซึ่งจะใช้ประโยชน์จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากที่ไม่สามารถเดินทางได้เป็นเวลานาน และสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ปรับตัวดีขึ้นทั่วโลก ทั้งนี้ ด้วยความพยายามของเราในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับฐานการดำเนินงานของเรา ฐานะทางการเงิน และสภาพคล่อง เราจึงมีรากฐานที่พร้อมสำหรับการเติบโตอย่างมั่นคง มีประสิทธิภาพ และแข็งแกร่งยิ่งขึ้นภายหลังจากที่สถานการณ์การระบาดของโรค COVID-19 สิ้นสุดลง”