Long Term Player สไตล์ “ทศ จิราธิวัฒน์”
ในจำนวน “จิราธิวัฒน์” รุ่นที่ 3 ซึ่งถือเป็นกำลังสำคัญของเครือเซ็นทรัลในขณะนี้ “ทศ จิราธิวัฒน์” เป็นผู้หนึ่งที่มีบทบาทโดดเด่นกว่าคนในรุ่นเดียวกัน
ปัจจุบันทศมีตำแหน่งเป็นประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด
ทศเป็นลูกชายคนเล็กคนที่ 10 ของ สัมฤทธิ์ จิราธิวัฒน์ ผู้ก่อตั้งเครือเซ็นทรัล
ทศจบ MBA สาขาการเงิน จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย สหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2531 หลังจากกลับมาเมืองไทย ได้เข้าทำงานเป็นวาณิชธนากรให้กับธนาคารซิตี้แบงก์ สาขาประเทศไทย อยู่ 1 ปี ก่อนที่จะลาออกเพื่อมาทำงานให้กับธุรกิจของครอบครัวจนปัจจุบัน
เซ็นทรัลภายใต้การบริหารของทศ มีวิวัฒนการและการขยายตัวที่น่าสนใจ ทั้งการดำเนินงานในประเทศคู่ขนานไปกับการเปิดตลาดต่างประเทศ ซึ่งทศทำได้อย่างดี
ล่วงเข้าสู่ปี 2561 กลุ่มเซ็นทรัลซึ่งนำโดย ทศ จิราธิวัฒน์ ได้สรุปแผนงานในปี 2561 ว่า กลุ่มเซ็นทรัลมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าตามยุทธศาสตร์นิวเซ็นทรัล นิวอีโคโนมี อย่างเต็มกำลัง เพื่อก้าวสู่การเป็นสุดยอดเทคคอมปานี และผู้นำด้านดิจิ-ไลฟ์สไตล์แพลต- ฟอร์มที่สมบูรณ์แบบที่สุด รวมไปถึงเติบโตทุกทิศทางเหมือนความสำเร็จในปีที่ผ่านๆมา โดยในปีนี้ตั้งเป้ายอดขายราว 397,308 ล้านบาท (คิดเป็นอัตราการเติบโต 14% จากปี 2560) และทุ่มงบประมาณกว่า 47,500 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 27.8% จากปี 2560) เพื่อขยายการลงทุนต่อเนื่องทั้งในและนอกประเทศ พร้อมพัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้า โดยมีแผนจะเปิดให้บริการศูนย์การค้า และโรงแรมแห่งใหม่ ตามระยะเวลาดังต่อไปนี้
1. ไตรมาส 1
o ท็อปส์ พลาซา พะเยา (เดือนมกราคม)
2. ไตรมาส 2
o เซ็นทรัลเวิลด์โฉมใหม่
3. ไตรมาส 3
o โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ อมตะ-ชลบุรี
o ท็อปส์ พลาซ่า สิงห์บุรี
o เซ็นทรัล ภูเก็ต แห่งที่ 2 และไตรภูมิ แอทแทรคชั่น
o เซ็นทารา เวสต์เบย์ เรสซิเดนซ์และสวีท โดฮา ประเทศกาตาร์
4. ไตรมาส 4
o ท็อปส์ พลาซา อำเภอผล ขอนแก่น, พัทลุง
o ห้างสรรพสินค้าเซน ป่าตอง ภูเก็ต
o โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ อมตะ-ชลบุรี
o ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ไอซิตี้ ศูนย์การค้าแห่งแรกของซีพีเอ็นในประเทศมาเลเซีย
นอกจากนี้ยังมีร้านค้าต่างๆที่จะเปิดใหม่ทั้งในประเทศไทยและประเทศเวียดนามกว่า 439 แห่ง ตลอดทั้งปีนี้อีกด้วย
ซึ่งทศมองว่าสถานการณ์ปีนี้น่าจะดีกว่าทุกๆ ปีที่ผ่านมา เห็นได้จากสัญญาณบวกในหลายๆ อย่าง ทั้งกำลังซื้อที่เริ่มดีขึ้น การลงทุนของภาครัฐในหลายๆ โครงการ การกำหนดวันเลือกตั้ง ซึ่งส่งผลให้ทุกอย่างคลี่คลายไปในทางที่ดี รวมถึงธุรกิจค้าปลีกด้วย เขาจึงกล้าลงทุนเพิ่มขึ้นทุกๆ ปี
ทศ รับว่า เมื่อโลกเปลี่ยน ธุรกิจก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนตาม ต้องมีการปรับตัว โดยใช้พื้นฐานที่มีอยู่แล้วให้เกิดประโยชน์ เขาไม่ปฏิเสธเทคโนโลยีและไม่คิดว่าจะมา Disrup ค้าปลีก ตรงกันข้ามเขาบอกว่าต้องใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจเพราะ “ออนไลน์ไร้ข้อจำกัด”
ทศ ย้ำว่า ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา กลุ่มเซ็นทรัลได้ยึด 3 ยุทธศาสตร์หลักในการดำเนินธุรกิจ คือ
1. มุ่งสู่การเป็นผู้นำธุรกิจค้าปลีกไลฟ์สไตล์-บริการ (Lifestyle & Service Retailing)
2. ขยายธุรกิจให้ครบคลุมทั้งในและต่างประเทศ
3. เสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจด้วยการร่วมมือกับพันธมิตร และการควบรวมกิจการ
จากความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจตามแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าว กลุ่มเซ็นทรัลได้สร้างผลงานความสำเร็จในหลายมิติ ทั้งในด้านผลประกอบการที่เพิ่มสูงขึ้นในทุกๆปี โดย 5 ปีที่ผ่านมา (ปี 2556-2560) ตัวเลขยอดขายของทั้งกลุ่มเซ็นทรัลมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยมากกว่า 11% และในปี 2560 สัดส่วนของผลประกอบการก็เป็นที่น่าพึงพอใจ โดยแบ่งออกเป็น ยอดขายในประเทศไทย 72%, ยอดขายในยุโรป 15% และยอดขายในประเทศเวียดนาม 13% ซึ่งสัดส่วนของตัวเลขยอดขายดังกล่าวก็มีที่มาจากความสำเร็จของธุรกิจของกลุ่มเซ็นทรัลทั้งในประเทศไทย ยุโรป และประเทศเวียดนาม ดังต่อไปนี้
1. ความสำเร็จในประเทศไทย
• กลุ่มเซ็นทรัล ถือเป็นผู้นำอันดับหนึ่งด้านธุรกิจค้าปลีกหลากหลายแขนงของประเทศไทย ทั้งธุรกิจห้างสรรพสินค้า, กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค, กลุ่มธุรกิจวัสดุก่อสร้าง สินค้าตกแต่งบ้าน และเครื่องใช้ไฟฟ้า, กลุ่มธุรกิจศูนย์การค้าและอสังหาริมทรัพย์, กลุ่มธุรกิจอุปกรณ์เครื่องเขียน หนังสือ และออนไลน์, กลุ่มธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ต, กลุ่มธุรกิจบริหารและการตลาดสินค้าแฟชั่น และ กลุ่มธุรกิจร้านอาหาร
• ในปี 2560 กลุ่มเซ็นทรัลมีจำนวนร้านค้ารวม 4,970 แห่ง ใน 38 จังหวัดทั่วประเทศ โดยตั้งเป้าในอีก 5 ปี ข้างหน้า (2565) จะขยายจำนวนร้านค้าเป็น 7,509 แห่ง ครอบคลุม 52 จังหวัดทั่วประเทศ
• กลุ่มเซ็นทรัลไม่เพียงเน้นการขยายสาขาของห้างร้านในกรุงเทพมหานคร แต่ยังขยายธุรกิจไปยังพื้นที่ต่าง จังหวัดด้วย โดยเห็นได้จากสัดส่วนของห้างร้านเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ที่สาขาในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด คิดเป็น 80 ต่อ 20 แต่ปัจจุบันสัดส่วนสาขาของกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ได้ปรับเปลี่ยนมาเป็น 54 ต่อ 46
2. ความสำเร็จในยุโรป
• 5 ปีที่ผ่านมา (ปี 2556-2560) ยอดขายของกลุ่มเซ็นทรัลในทวีปยุโรป มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 24% ซึ่งมาจากห้างสรรพสินค้าชั้นนำต่างๆของกลุ่มเซ็นทรัลในทวีปยุโรป ได้แก่ ห้างสรรพสินค้ารีนาเชนเต ประเทศอิตาลี, ห้างสรรพสินค้าอิลลุม ประเทศเดนมาร์ก และห้างสรรพสินค้ากลุ่มคาเดเว (ห้างคาเดเว, ห้างโอเบอร์โพลลิงเกอร์ และห้างอัลสแตร์เฮ้าส์) ประเทศเยอรมนี
• ในปี 2560 กลุ่มเซ็นทรัลได้เปิดห้างสรรพสินค้ารีนาเชนเต โรม แลนด์มาร์กแห่งใหม่ใจกลางกรุงโรม และเป็นแฟล็กชิพของห้างรีนาเชนเต แห่งที่ 2 (แฟล็กชิพแห่งแรก คือ ห้างรีนาเชนเต มิลาน) ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากชาวอิตาลี และบรรดานักท่องเที่ยว ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จ และความภาคภูมิใจอย่างยิ่งของกลุ่มเซ็นทรัล และคนไทยทุกคน
3. ความสำเร็จในประเทศเวียดนาม
• 5 ปีที่ผ่านมา (ปี 2556-2560) ยอดขายของกลุ่มเซ็นทรัลในประเทศเวียดนามมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 340%
• กลุ่มเซ็นทรัล ถือเป็นผู้นำธุรกิจค้าปลีกต่างชาติรายใหญ่ที่สุดของประเทศเวียดนาม (Largest Foreign Retailer in Vietnam) ใน 5 ธุรกิจสำคัญ ได้แก่
o ธุรกิจศูนย์การค้า 31 แห่ง : บิ๊กซี
o ธุรกิจอาหาร 59 แห่ง : บิ๊กซี, ลานชีมาร์ท
o ธุรกิจแฟชั่น 49 แห่ง : โรบินส์, เดลาลา, ซูเปอร์สปอร์ต และ มาร์ค แอนด์ สเปนเซอร์
o ธุรกิจฮาร์ดไลน์ 78 แห่ง : เหงียนคิม, บีทูเอส
o ธุรกิจออนไลน์ 3 แพลตฟอร์ม : เว็บไซต์ NguyenKim.vn, Robins.vn และ B2S.com.vn
• ปัจจุบันกลุ่มเซ็นทรัลมีห้างร้านกระจายอยู่ทั่วประเทศเวียดนามรวมทั้งสิ้น 217 ร้าน ครอบคลุมพื้นที่กว่า 700,000 ตรม. ใน 37 จังหวัด โดยตั้งเป้าในอีก 5 ปีข้างหน้า (2565) จะมีร้านค้าทั้งหมดรวมกว่า 753 ร้าน ครอบคลุมพื้นที่กว่า 2,500,000 ตรม. ใน 57 จังหวัดทั่วประเทศ
• พนักงานของกลุ่มเซ็นทรัลในประเทศเวียดนามมีมากกว่า 17,000 คน พร้อมให้บริการลูกค้าที่มาใช้บริการไม่ต่ำกว่า 175,000 คนต่อวัน
ทศ บอกว่า เขาคือ Long Term Player ตัวจริง เสียงจริงในตลาด เพราะมีการวางแผนระยะยาว ทั้งตลาดในและต่างประเทศ ที่เขาหมายมั่นปั้นมือว่าจะนำธุรกิจคนไทยออกไปวาดลวดลายสู่สายตาคนทั่วโลก
นอกจากนี้ กลุ่มเซ็นทรัลยังประสบความสำเร็จในด้านการร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำและบริษัทคู่ค้าแนวหน้าระดับโลก ที่ให้ความไว้วางใจ เชื่อมั่นในกลุ่มเซ็นทรัล และพร้อมที่จะนำความแข็งแกร่งมาเสริมให้ธุรกิจร่วมเติบโตอย่างก้าวกระโดดไปด้วยกัน อาทิ ดุสิตธานี สร้างโครงการมิกซ์ยูสบนถนนสีลม-พระราม 4, เจดีดอทคอม สร้างแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซใหม่ JD.co.th และพัฒนาอีโลจิสติกส์ อีไฟแนนซ์, ฮ่องกงแลนด์ สร้างโครงการมิกซ์ยูสบนถนนเพลินจิต และอิเกีย แห่งใหม่ที่จะเปิดเชื่อมต่อกับ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เวสต์เกต ในวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2561 นี้เพื่อที่จะต่อยอดธุรกิจให้เติบโตแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง
ญนน์ โภคทรัพย์ President ของกลุ่มเซ็นทรัล ได้ชูยุทธศาสตร์ 5 ปี หรือยุทธศาสตร์ใหม่สำหรับปี 2561-2565 ที่จะนำพากลุ่มเซ็นทรัลสู่การเป็น ‘นิวเซ็นทรัล นิวอีโคโนมี’ (NEW CENTRAL, NEW E-CONOMY) ครองตำแหน่งผู้นำด้านดิจิ-ไลฟ์สไตล์แพลตฟอร์ม (Digi-Lifestyle Platform) แห่งแรกในประเทศไทย เพื่อมอบประสบการณ์การใช้ชีวิตที่เหนือกว่า และครองใจลูกค้าตลอดกาล โดยดิจิ-ไลฟ์สไตล์แพลตฟอร์มจะถูกพัฒนาในทุกกลุ่มธุรกิจในเครือของกลุ่มเซ็นทรัล รวมถึงต่อยอดไปยังธุรกิจใหม่ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น ผ่านการขับเคลื่อนใน 3 มิติสำคัญ คือ
1. ข้อมูล (Data) จัดเก็บข้อมูลทั้งหมด (Data Lake) จากทุกกลุ่มธุรกิจ ไว้บนระบบคลาวด์ เพื่อที่จะสร้างความเข้าใจที่ตรงกันเกี่ยวกับพฤติกรรมของลูกค้าเชิงลึก (Single view of customer) และสามารถมอบประสบการณ์ที่เหนือกว่าให้กับลูกค้าคนพิเศษ
2. ลอยัลตี้ และการตอบสนองความต้องการเฉพาะบุคคล (Loyalty & Personalized experience) ผ่านทางแพลตฟอร์มใหม่ของเดอะวัน (The 1) จะทำให้กลุ่มเซ็นทรัลสามารถสร้างปฏิสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นกับลูกค้า และตอบสนองความต้องการเฉพาะบุคคลได้ดียิ่งขึ้น
3. ออมนิแชแนล แพลตฟอร์ม (Omnichannel Platform) พัฒนาให้ทุกธุรกิจในเครือของกลุ่มเซ็นทรัลก้าวสู่การเป็นออมนิแชแนล แพลตฟอร์มอย่างแท้จริง สามารถเชื่อมต่อประสบการณ์การช้อปปิ้งระหว่างโลกออฟไลน์ และออนไลน์ได้อย่างไร้ขีดจำกัด ทุกที่ ทุกเวลา
นอกจากนี้กลุ่มเซ็นทรัลยังร่วมทุนกว่า 17,500 ล้านบาท กับ JD.Com ยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซจากประเทศจีน ในการจัดตั้ง เจดี เซ็นทรัล (JD CENTRAL) สร้างมาร์เก็ตเพลส (Marketplace) แห่งใหม่ในชื่อ JD.co.th เพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการเข้าถึงลูกค้าของกลุ่มธุรกิจในเครือกลุ่มเซ็นทรัล ซึ่งจะมีส่วนช่วยขับเคลื่อนให้เกิดดิจิ-ไลฟ์สไตล์แพลตฟอร์ม อย่างรวดเร็วและครบวงจรยิ่งขึ้น โดยภายในเดือนพฤษภาคมนี้ เว็บไซต์ JD.co.th จะพร้อมเปิดให้บริการแก่ลูกค้า รวมถึงเปิดโอกาสให้สินค้าไทย และสินค้า SMEs ได้เผยแพร่สู่ตลาดโลก
การร่วมทุนกับ JD.com ไม่เพียงทำให้เกิดมาร์เก็ตเพลสแห่งใหม่ แต่ยังสร้างอีก 2 ธุรกิจใหม่ที่เปี่ยมศักยภาพให้กับกลุ่มเซ็นทรัล คือ
1. อีโลจิสติกส์ (E-Logistics) กลุ่มเซ็นทรัลจะก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านโลจิสติกส์รายใหญ่ของประเทศไทย พร้อมบริการออนดีมานด์ที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น
2. อีไฟแนนซ์ (E-Finance) กลุ่มเซ็นทรัลมุ่งหน้าสู่การเป็นบริษัทฟินเทค (Fintech) เต็มตัว ให้บริการด้านการเงินอย่างครบวงจร (One stop – integrated financial system) ครอบคลุมทั้งบริการอีเพย์เมนต์
(E-Payment) และอีไฟแนนเชียล (Financial) สำหรับทั้งลูกค้า และซัพพลายเออร์
และเพื่อให้การพัฒนาดิจิ-ไลฟ์สไตล์แพลตฟอร์ม เป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบ กลุ่มเซ็นทรัลยังให้ความสำคัญกับ 4 องค์ประกอบหลัก ที่จะสามารถตอบสนองลูกค้าแบบไลฟ์สไตล์ ออนดีมานด์ และบรรลุเป้าหมายการเป็น
นิวเซ็นทรัล อย่างแท้จริง ได้แก่
1. พันธมิตร (Alliance) กลุ่มเซ็นทรัลร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำระดับโลก ได้แก่ ดุสิตธานี, เจดีดอทคอม, ฮ่องกงแลนด์, อิเกีย และอีกหลากหลายพันธมิตรชั้นนำในอนาคตอันใกล้
2. เทคโนโลยี (Technology) กลุ่มเซ็นทรัลพร้อมมุ่งสู่การเป็นสุดยอดเทคคอมปานี (Technology Company) ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยครบทุกมิติ เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้า และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจชาติในเชิงมหภาค โดยโฟกัสเทคโนโลยีแห่งอนาคตใน 4 ด้าน คือ
2.1 สร้างอีคอมเมิร์ซแพลตฟอร์มที่ดีที่สุดให้กับทุกกลุ่มธุรกิจของกลุ่มเซ็นทรัล เพื่อให้เกิดการ
ซินเนอจี้ระหว่างกันอย่างเต็มประสิทธิภาพ
2.2 สร้างฐานข้อมูลลูกค้าบนคลาวด์ เพื่อรวบรวมข้อมูลลูกค้าจากทุกกลุ่มธุรกิจในเครือของกลุ่มเซ็นทรัล และแหล่งข้อมูลอันเป็นประโยชน์อื่นๆ นำมาทำการวิเคราะห์ เพื่อให้เข้าใจพฤติกรรมลูกค้าเชิงลึก และสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าในลักษณะเฉพาะบุคคลได้
2.3 สร้างแพลตฟอร์มไลฟ์สไตล์ใหม่ของเดอะวัน เพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์ (Engagement) กับลูกค้าอย่างเหนียวแน่น และมอบประสบการณ์การใช้ชีวิตที่เหนือกว่าให้กับลูกค้า
2.4 ลงทุนต่อเนื่องในด้านโลจิสติกส์ และศูนย์กระจายสินค้าที่ทันสมัย เพื่อปรับปรุงการให้บริการลูกค้าให้ได้รับความพึงพอใจยิ่งขึ้น อาทิ การพัฒนาคลังสินค้าระบบออโตเมติกของออฟฟิศเมทที่ใช้เงินลงทุนกว่า 1 พันล้านบาท เพื่อสร้างระบบอีโลจิสติกส์ให้สมบูรณ์แบบ
3. คน (People) กลุ่มเซ็นทรัลถือเป็นผู้สร้างงงานรายใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ด้วยจำนวนพนักงานมากว่า 220,000 คน และพนักงานผู้พิการอีกมากกว่า 700 คน เรายังคงสรรหา และส่งเสริมพนักงานที่เก่ง ดี และมีความสามารถในด้านต่างๆ โดยเฉพาะด้านดิจิตอล พร้อมมุ่งมั่นสร้างวัฒนธรรมการทำงานรูปแบบใหม่ อาทิ การให้โอกาสพนักงานได้ร่วมงานกับผู้บริหารระดับสูงอย่างใกล้ชิด, การจัดกิจกรรมเวิร์คชอป และโค้ชชิ่งที่หลากหลาย, การสร้างแรงบันดาลใจ และประสบการณ์ดีๆ ในที่ทำงาน ทั้งการปรับปรุงพื้นที่ทำงานให้น่าอยู่ และสนับสนุนให้พนักงานได้พัฒนาศักยภาพของตนเองอย่างต่อเนื่อง ผ่านโครงการซีจี ชาเลนจ์ (CG Challenge) โครงการที่ให้พนักงานรุ่นใหม่ได้แสดงฝีมือ และความคิดสร้างสรรค์ในการครีเอตโมเดลธุรกิจใหม่ๆ ที่จะตอบโจทย์ลูกค้าได้เป็นอย่างดี
4. ชุมชน (Community) กลุ่มเซ็นทรัลให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบต่อสังคม ภายใต้โครงการ “เซ็นทรัลทำ” ที่มีภารกิจหลักในการพัฒนา 4 เสา คือ คน, ชุมชน, สิ่งแวดล้อม, สันติภาพและวัฒนธรรม โดยมีจุดประสงค์ ดังนี้
4.1 สร้างงาน สร้างอาชีพ กลุ่มเซ็นทรัลช่วยสร้างงาน สร้างอาชีพให้กับคนในชุมชน โดยเริ่มต้นจากการปลูกฝังให้นักเรียนได้ทดลองทำงานจริง เช่น งานเกษตรกรรม, งานฝีมือ รวมไปถึงจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้เพื่อผู้พิการ ในการนำความรู้ไปประกอบอาชีพ เลี้ยงดูตนเองและครอบครัว นอกจากนี้ยังส่งเสริมเกษตรกรในการเพาะปลูก ช่วยเพิ่มมูลค่าสินค้า และสนับสนุนช่องทางการจัดจำหน่ายภายในเครือกลุ่มเซ็นทรัลให้กับสินค้าจากชุมชนต่างๆ อาทิ ผักจากชุมชนบ้านน้ำดุกใต้ โดยปัจจุบันกลุ่มเซ็นทรัลได้ช่วยเหลือชุมชนไปแล้ว 481 ชุมชน พัฒนาสินค้าชุมชนกว่า 4,500 รายการ สร้างรายได้กว่า 967 ล้านบาท กลับคืนสู่ชาวบ้านไม่ต่ำกว่า 10,000 ครัวเรือน
4.2 สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน อาทิ สนับสนุนเครื่องกรองน้ำให้เด็กนักเรียน และครู ได้บริโภคน้ำสะอาด รวมถึงดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม และสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดในหลากหลายมิติ เช่น การจัดทำหลังคาโซล่าร์ในศูนย์การค้าเซ็นทรัล เพื่อลดการใช้ไฟฟ้า, ติดตั้งเครื่องรีไซเคิลขยะขวดพลาสติก ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์, ติดตั้งเครื่องชาร์จไฟสำหรับรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า บริเวณลานจอดรถ และโครงการเพื่อสังคมอีกมากมาย เช่น การสมทบทุนสร้างบ้านพิงพัก เพื่อผู้ป่วยมะเร็งสตรีที่ยากไร้ และการปรับปรุงห้องน้ำต้นแบบสวนลุมพินี เป็นต้น
และนี่คือ สไตล์การทำงานของผู้เล่นคนสำคัญในตลาดค้าปลีกเมืองไทยที่ยากจะตามทันอย่าง “ทศ จิราธิวัฒน์”