“GoldCity” กับ Design Collaboration หนีตลาดรองเท้านักเรียนซบ
ในบรรดารองเท้านักเรียนนอกจากแบรนด์นันยางแล้ว GoldCity โกลด์ซิตี้ ถือเป็นแบรนด์ที่เก่าแก่ที่ยังคงปักหลักทำตลาดรองเท้านักเรียนตลอดมา จนกระทั่งในช่วง 2-3 ปีที่แล้ว GoldCity เริ่มมีการขยับตัวเนื่องจากตลาดรองเท้านักเรียนไม่มีการเติบโตซึ่งมาจากปัจจัยหลายประการทั้งภาวะเศรษฐกิจ อัตราการเกิดใหม่ของประชากรที่ลดลง ทำให้แบรนด์เก่าแก่รายนี้มีกาปรับภาพการทำตลาดที่ผิดแผกไปจากแบรนด์อื่นๆ ในตลาดเดียวกัน โดยเฉพาะการพัฒนาสินค้านวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อขยายไปยังกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ โดยเฉพาะรองเท้าผ้าใบแฟชั่น รองเท้าลำลอง รองเท้าแตะ รองเท้ากีฬา เป็นต้น
GoldCity เริ่มต้นขึ้นเมื่อ 60 ปีที่แล้ว…เริ่มจากความคิดดีๆของ ช่างทำรองเท้า…ที่ชอบรองเท้า…จึงคิดทำรองเท้าคุณภาพดี มีความทนทาน สวมใส่สบาย และราคาไม่แพง เพราะเชื่อว่า…ของที่คุณภาพดี ไม่จำเป็นต้องมีราคาแพง, และของที่มีราคาแพง ไม่จำเป็นต้องคุณภาพดี….
เริ่มที่ปี พ.ศ. 2493 คุณสุพัฒน์- คุณเรือนงาม จินาพันธ์ ได้เริ่มต้นผลิตรองเท้าผ้าใบขึ้นเป็นครั้งแรก ที่โรงงานรองเท้าสวัสดี ย่านถนนเทอดไท-ตลาดพลู ด้วยคนงานเพียง 8 คน และเงินทุนเพียงไม่กี่ร้อยบาท โดยเป็นการผลิตรองเท้าผ้าใบด้วยมือเป็นหลัก ด้วยความปราณีตของรองเท้าที่ผลิตออกมา ทำให้กิจการของโรงงานรองเท้าสวัสดีเจริญเติบโต มาอย่างต่อเนื่อง
ปี พ.ศ. 2508 จึงย้ายโรงงานมาที่ ถนนเอกชัย ย่านบางขุนเทียน และเปลี่ยนชื่อธุรกิจเป็น ห้างหุ้นส่วนจำกัดโรงงงานยางเมืองทอง เพื่อผลิตรองเท้าบู๊ทยางกันน้ำ และรองเท้าแตะยางฟองน้ำ เพิ่มขึ้นอีก โดยเล็งเห็นว่าประเทศไทย มีฤดูฝนที่ยาวนาน จึงควรมีสินค้าหลากหลายชนิด ที่จำหน่ายได้ตลอดทั้งปี ทั้งหน้าร้อนและหน้าฝน และที่โรงงานนี้เอง ที่ตราสินค้า “GoldCity” ได้ถือกำเนิดขึ้น
“เราต้องบริหารธุรกิจด้วยความขยันหมั่นเพียร ซื่อสัตย์ต่ออาชีพ ต่อลูกน้อง และต่อลูกค้า มุ่งมั่นพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
แสวงหากำไรจากธุรกิจเพียงแค่พออยู่พอกิน มุ่งสั่งสมและรักษาชื่อเสียงไม่ให้ด่างพร้อย”
ปี พ.ศ. 2520 กิจการของห้างหุ้นส่วนจำกัดโรงงานยางเมืองทอง ได้เติบโตเต็มพื้นที่โรงงาน 5 ไร่ มีคนงานมากถึง 500 คน และประกอบกับในช่วงเวลานั้นได้มียอดสั่งผลิตรองเท้าผ้าใบ รองเท้าแฟชั่น รองเท้ากีฬา รองเท้าแตะจากหลายประเทศ ทั้งในยุโรปและอเมริกาเข้ามาอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุด ต้องขยายโรงงานผลิตเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งแห่ง
ปี พ.ศ. 2552 บริษัท เมืองทองมหาชัย จำกัด ได้ถูกก่อตั้งขึ้นที่ อำเภอมหาชัย จังหวัดสมุทรสาคร บนพื้นที่กว่า 200 ไร่ ผลิตรองเท้าทั้งระบบร้อน ระบบเย็น ระบบบู๊ท และระบบฉีดด้วยพนักงานกว่า 2,000 คน เพื่อส่งออกและจำหน่ายในประเทศ โดยผนึกกำลังร่วมกับ ห้างหุ้นส่วนจำกัดโรงงานยางเมืองทอง และเริ่มเกิดคำว่า “กลุ่มบริษัทโกลด์ซิตี้”
ปี พ.ศ. 2535 ยอดขายสินค้าในประเทศของกลุ่มโกลด์ซิตี้เติบโตอย่างต่อเนื่อง มีการกระจายสินค้าไปทั่วประเทศ จึงมีการก่อตั้งบริษัท โกลดิ์ซิตี้ฟุตแวร์ จำกัด ขึ้น เพื่อดูแลกิจกรรมการตลาด การสร้างตราสินค้า และการกระจายสินค้าโดยตรง โดยให้พนักงานเข้าร่วมเป็นผู้ถือหุ้นด้วย
ปี พ.ศ. 2552 บริษัทได้มีการปรับตราสัญลักษณ์ของสินค้าแบรนด์ GoldCity (โกลด์ซิตี้) ให้ทันสมัย สอดคล้องไปกับกลุ่มเป้าหมาย ที่ “ฉลาดคิด ฉลาดเลือกทางเดินของชีวิต เป็นคนดี มีน้ำใจ” เพื่อขานรับกับการพัฒนาองค์กรที่มีมาอย่างต่อเนื่อง โดยเปลี่ยนตราสัญลักษณ์ของบริษัท จากรูปหลังคาจั่วทรงไทยสีดำบนพื้นวงรีสีเหลืองที่คุ้นตากันมานาน พัฒนาเปลี่ยนไปเป็นรูปสามเหลี่ยมบนพื้นวงกลม ที่ยังคงกลิ่นอายของหลังคาจั่วเดิม แต่ผสมผสานความทันสมัยและความเคลื่อนไหว จึงทำให้โลโก้ใหม่ของ GoldCity มีความร่วมสมัย เรียบง่าย มั่นคง จริงใจ ตรงกับบุคลิกของบริษัท และแสดงถึงบุคลิกของผลิตภัณฑ์ได้อย่างชัดเจน
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ปรัชญาของคุณสุพัฒน์-คุณเรือนงาม จินาพันธ์ ผู้ก่อตั้งกลุ่มโกลด์ซิตี้และลูกหลาน ในการดำเนินธุรกิจไม่เคยเปลี่ยนแปลง นั้นคือเราต้องบริหารธุรกิจด้วยความขยันหมั่นเพียร ซื่อสัตย์ต่ออาชีพ ต่อลูกน้องและต่อลูกค้า มุ่งมั่นพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แสวงหากำไรจากธุรกิจเพียงแค่พออยู่-พอกิน มุ่งสั่งสมและรักษาชื่อเสียงไม่ให้ด่างพร้อยจนการบริหารงานตกมาอยู่ในมือของทายาทรุ่นที่ 2 “สุรศักดิ์ จินาพันธ์” กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัท โกลด์ซิตี้ ประเทศไทย จำกัด ที่ต้องการจะลดความเสี่ยงด้วยการแตกไลน์สินค้าเพิ่มขึ้น เพื่อเป็นการขยายธุรกิจและสร้างรายได้ให้กับองค์กรอย่างยั่งยืนมากขึ้น พร้อมกับลดความเสี่ยงจากการทำตลาดแค่รองเท้านักเรียนอย่างเดียว
นายสุรศักดิ์ กล่าวว่า ตลาดรวมรองเท้านักเรียนมูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาท แม้จะเป็นรายได้หลักของบริษัทฯ แต่ที่ผ่านมาตลาดรวมแทบจะไม่มีการเติบโตเลย หรือเติบโตต่ำมาก เนื่องจากอัตราการเกิดเด็กใหม่น้อยลง และการแข่งขันก็มีความรุนแรง มีผู้ประกอบการในตลาดเป็นจำนวนมาก ทั้งจากแบรนด์ของไทย และแบรนด์ด่างประเทศที่ผลิตมาจากจีนเป็นหลัก เข้ามาแย่งตลาดด้วยการทำราคาจึงต้องปรับตัว นอกจากปรับกลยุทธ์การตลาดของรองเท้าแล้ว ยังต้องขยายธุรกิจใหม่สร้างฐานรายได้ใหม่ด้วย
ส่วนแผนการทำธุรกิจรองเท้า จากนี้จะเน้นการทำตลาดเชิงกิจกรรมมากขึ้น รวมทั้งการเปิดตัวสินค้าใหม่ และเน้นนวัตกรรม ตลอดจนการขยายช่องทางใหม่และกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆเพิ่มขึ้น โดยปีนี้ตั้งบการตลาดไว้ถึง 30 ล้านบาท เพื่อเดินเครื่องทำตลาดเต็มที่ ขณะที่ปัจจุบันบริษัทเป็นผู้นำอันดับ 3 ในตลาดรวมรองเท้าผ้าใบนักเรียนโดยมีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 25% ซึ่งรองเท้าผ้าใบนักเรียนคือตลาดหลักมีสัดส่วนรายได้มากถึง 70% แยกเป็นตลาดนักเรียน 50% และตลาดของโรงงานอุตสาหกรรม 20% ส่วนอีก 30% เป็นรองเท้ากลุ่มอื่น ๆ เช่น รองเท้าแฟชั่น รองเท้าทำงาน รองเท้าลำลอง รองเท้าแตะ รองเท้ากีฬา เป็นต้น
ล่าสุด GoldCity เปิดตัวคอลเล็กชั่นรองเท้าซีรีส์ KENG ใหม่ 2 รุ่น ให้เป็นรองเท้าแฟชั่น และรองเท้านักเรียนระดับพรีเมียม พร้อมเปิดตัว แบรนด์แอมบาสซาเดอร์ เก่ง ธชย นักร้อง ไอดอลของเด็กรุ่นใหม่ ที่มีความคิดสร้างสรรค์และสามารถสร้างฝันของตัวเองสร้างชื่อเสียงให้ประเทศ ภายใต้ คอนเซ็ปต์ “รองเท้าเก่ง” เก่งให้สุด…อย่าหยุดเก่ง พร้อมทุ่มงบกว่า 25 ล้านบาทจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาด ตั้งเป้าทั้งกลุ่มบริษัทเติบโต 10 % และคาดหวังยอดขายรองเท้ารุ่นเก่ง 120,000 คู่ในปีนี้
สุรศักดิ์ บอกว่า GoldCity ก่อตั้งมากว่า 67 ปี ภายใต้แรงบันดาลใจที่อยากเห็นคนไทยทุกคนมีโอกาสใส่รองเท้าที่มีคุณภาพดี สวมใส่สบาย ทนทาน มีคุณภาพราคาสมเหตุสมผล และซื้อได้ง่าย จึงได้ผลิตและจัดจำหน่ายรองเท้าชั้นนำทุกชนิด โดยแบ่งการผลิตออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ 1. รับผลิตให้แบรนด์ดังหรือหน่วยงานชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ 2. รับออกแบบและผลิตสินค้าให้บริษัทที่ต้องการสร้างแบรนด์ของตัวเอง 3. การทำแบรนด์ของตนเอง โดยการผลิตในส่วน ข้อ 1-2 มียอดการผลิตโดยรวมกว่า 6 ล้านคู่ต่อปี และในส่วนแบรนด์ของบริษัทฯ หรือ OBM มีสัดส่วนการผลิตมากสุดคือรองเท้านักเรียนที่มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 25% จัดเป็นอันดับที่ 3 ของตลาดรองเท้า มียอดขายอยู่ที่ 20 ล้านคู่ หรือคิดเป็นมูลค่า 5,000 ล้านบาท และปีนี้คาดว่าจะมีส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มเป็น 33% เนื่องจากมีการออกสินค้าใหม่และส่งเสริมการขายในทุกช่องทาง และทำกิจกรรมสื่อประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการตลาดตลอดทั้งปี
ด้วยความโดดเด่นของแบรนด์โกลด์ซิตี้ สะท้อนด้านความเป็นแบรนด์ได้ครบเครื่องทั้งของผู้ผลิตและจัดจำหน่าย ที่ให้บริการตอบสนองผู้บริโภคครบทุกเซ็กเม้นต์ แสดงให้เห็นถึงความเป็นแบรนด์ที่สร้างความแตกต่างด้านการนำนวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้ในการออกแบบ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอย่างไม่หยุดนิ่ง ตามสโลแกน “สายลุย…ไม่คุยให้เสียเวลา จึงได้ทำการเลือก เก่ง-ธชย ประทุมวรรณ เป็นแบรนด์แอมบาสซาเดอร์ คนแรกของสินค้า เนื่องจากเป็นคนที่มีความสุขในการพัฒนาตนเอง ไม่หยุดนิ่ง พร้อมที่จะเรียนรู้อยู่เสมอ และต้องการสื่อสารความเป็นไทยให้ทั่วโลกรู้จักเหมือนกับแบรนด์โกลด์ซิตี้ ซึ่งตรงกับกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์ คือ กลุ่มนักเรียน (Dreamer) นักศึกษา และกลุ่มเริ่มทำงาน ที่มองหาต้นแบบการสร้างแรงบันดาลใจให้กับตนเอง และเก่งได้มีส่วนร่วมในการออกแบบรองเท้ารุ่น KENG 2 รุ่น ในซีรี่ส์ “เก่งให้สุด…อย่าหยุดเก่ง” คือรุ่น เก่ง Original และ เก่ง Advance
ปัจจุบันกลุ่มลูกค้าหลักของโกลด์ซิตี้ เป็นกลุ่มนักเรียนที่มีช่วงอายุอยู่ระหว่าง 13-17 ปี และรองลงมา ได้แก่ กลุ่มผู้ปกครองที่มีลูกเริ่มเข้าเรียน ตั้งแต่อนุบาลถึงประถมศึกษา บริษัทฯ จึงมีแผนการทำการตลาดให้เข้มข้นขึ้นทั้งในกลุ่มเดิม และขยายการรับรู้ไปยังลูกค้าในกลุ่มอื่นให้มากขึ้น แต่ยังคงโฟกัสที่กลุ่มนักเรียนพร้อมขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่ให้ตอบโจทย์การใช้ชีวิตด้านอื่นๆ เช่น กีฬา การท่องเที่ยว แฟชั่น เป็นต้น และเริ่มเข้าไปจับตลาดกลุ่มนักศึกษาและกลุ่มวัยเริ่มทำงาน นอกจากนี้ กลุ่ม Activist หรือนักกิจกรรมที่รักษ์สุขภาพ มีอายุ 35 ปีขึ้นไป ซึ่งกลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างมากในอนาคต
สำหรับแผนการตลาดบริษัทฯ มุ่งเน้นด้านการขยายตลาด-สินค้า โดยหาช่องว่างของตลาดที่ยังสามารถพัฒนายอดขายจากสินค้าเดิมไปยังอีกช่องทางได้ โดยเพิ่มสัดส่วนช่องทางโมเดิร์นเทรด อย่างโรบินสัน ซึ่งปัจจุบันนี้มีสาขา อยู่ที่ สมุทรปราการ อุดรธานี พิษณุโลก สุรินทร์ และมีวางจำหน่ายเพิ่มสาขาขึ้นเรื่อยๆในอนาคต รวมถึง ช่องทางออนไลน์ให้มากขึ้น เพิ่มการให้บริการแก่คู่ค้าเพื่อสร้างความประทับใจในการส่งสินค้าส่งไปต่างประเทศ หรือสัดส่วนการขายสินค้าในรูปแบบโปรเจคการบริจาค, เล่นกีฬา, โรงงาน, ไซต์งานก่อสร้าง เป็นต้น และเน้นเพิ่มยอดขายในตลาดรองเท้านักเรียนและรองเท้าแฟชั่น ด้วยการกระจายสินค้ารองเท้านักเรียน, แฟชั่นและถุงเท้า ไปยังตัวแทนที่ขายทั้งรองเท้านักเรียนและแฟชั่นอยู่แล้วที่ยังไม่มีสินค้าครบกลุ่ม จัดการส่งเสริมการขายร้านค้าและรายการส่งเสริมผู้บริโภค โดยใช้ Music Marketing Event เป็นตัวนำ นอกจากนี้ยังได้ทำการเพิ่มสินค้าใหม่ๆ ด้วยดีไซน์และฟังก์ชั่นใหม่ๆ จากงานวิจัยให้เหมาะสม สอดคล้องกับไลฟสไตล์ของ Fragmented Segment Consumer มากขึ้น เช่น กลุ่ม Activist ที่ต้องการรองเท้า Multi-Purpose หรือ รองเท้านักเรียนที่ ใส่เรียนได้ ใส่ไปเที่ยวด้วยได้ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม การนำกลยุทธ์ Design Collaboration มาใช้จะช่วยผลักดันยอดขายและสร้างภาพลักษณ์ให้กับโกลด์ซิตี้ได้ดี โดยได้มุ่งเน้นไปยัง 3 กลุ่มเป้าหมายหลักคือ 1. กลุ่มเยาวชน การร่วมออกแบบกับคนดนตรี คือ เก่ง-ธชย, การร่วมออกแบบกับนักกีฬาฟุตบอล กับทีม YHAFA by BGFC และกับนักกีฬา 2. กลุ่มผู้ใส่ใจสุขภาพและกลุ่มผู้สูงอายุ (Aging Society) มีการร่วมออกแบบเทคโนโลยีเพื่อสุขภาพเท้า ร่วมกันกับ Jolly Walk และ สวทช (ITAP) 3. กลุ่มที่มุ่งมั่นในการทำงาน (Performance Coaching) เพื่อเป็น role model ให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย
โดยมีแผนการสร้างการรับรู้ไปยังกลุ่มเป้าหมายด้วยการใช้กลยุทธ์การสื่อสารผ่าน Music Marketing สื่อสารผ่านช่องทางออนไลน์ (online) ด้วย MV กับเพลงใจยักษ์, วิทยุ (Spot Radio) และ ทีวี (Spot TVC) พร้อมตั้งเป้ายอดขายของสินค้ารุ่นเก่งอยู่ประมาณ 120,000 คู่ต่อปี และคาดหวังยอดขายสินค้าโดยรวมทั้งกลุ่มจะเติบโตที่ 10% ภายในปีนี้
นายสุรศักดิ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ปัจจุบันทิศทางธุรกิจรองเท้าในประเทศไทย ร้านค้าส่งยังคงมีบทบาทสำคัญในตลาด แต่เริ่มที่จะจัดเก็บสินค้าเฉพาะแบรนด์อันดับต้นๆ ที่มีแนวทางทำการตลาดอย่างชัดเจน โดยเฉพาะรองเท้านักเรียน และอนาคตตนมองว่า ผู้บริโภคจะใส่ใจสุขภาพมากขึ้น โดยหันมาซื้อสินค้าที่ให้ Function Benefit ที่มาพร้อมกับการดีไซน์ที่เป็นไปตามไลฟสไตล์ของตนหรือกลุ่มของตน ตลาดรองเท้าเพื่อสุขภาพจะใหญ่ขึ้น เยาวชนจะแต่งตัวเลียนแบบ Influencer เช่น ไอดอล ที่ตนชื่นชอบหรือตามเพื่อนในกลุ่มของตน และกลุ่มคนชอบท่องเที่ยวมากขึ้นรองเท้าที่ใส่จะดูเป็น Multi-Purpose มากขึ้น แต่ขณะเดียวกันผู้บริโภคต้องการสินค้าที่ดีมีการตอบสนองไลฟสไตล์ตัวเองอย่างชัดเจน
ดังนั้น ที่ผ่านมาจึงได้มีการปรับองค์กรเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว และอีก 3 ปีนับจากนี้ได้วางโรดแมปไว้ว่า จะเน้นการสินค้าที่ดีไซน์ร่วมกับบุคลสำคัญ ๆ มากขึ้น ซึ่งปีหน้ามีอีก 3 คนเพื่อเป็นการสร้างสตอรี่ให้กับสินค้า ขยายช่องทางจำหน่ายไปยังกลุ่มตลาดระดับกลาง ราคา 500-1,200 บาท ซึ่งเป็นตลาดบลูโอเชี่ยน การแข่งขันไม่สูงและเป็นตลาดที่มีการเติบโต และสุดท้ายคือการเน้นช่องทางอีคอมเมิร์ซอย่างเป็นรูปธรรม