หนีห่าว “สตาร์บัคส์ออนไลน์ “
แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้าพ่อเชนกาแฟระดับโลก แต่ก็ใช่ว่าจะโรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป ข่าวคราวของ สตาร์บัค เริ่มส่งสัญญาณให้เห็นตั้งแต่ปีที่แล้ว เนื่องจากยักษ์ใหญ่ราคาแพงแบรนด์นี้เตรียมปิดร้านถึง 150 สาขาในสหรัฐอเมริกาปี 2019 ซึ่งสาขาทั้งหมดเป็นร้านที่ดำเนินการโดย สตาร์บัค เอง ด้วยสาเหตุคือ ไม่สามารถทำเงินได้มาก เเละเปิดสาขาใหม่ให้น้อยลงในช่วงต้นปี เพื่อตอบสนองต่อการเเข่งขันของกลุ่มร้านสะดวกซื้อ เเละร้านอาหารใหม่ๆ
อีกหนึ่งตลาดหลักของ สตาร์บัค คือ จีน ซึ่ง สตาร์บัค ตั้งเป้าเพิ่มรายได้ให้กับจีนถึง 3 เท่า เเละจะมีร้านกาเเฟในจีนเพิ่มขึ้นถึง 6,000 สาขาในปี 2022
แต่แล้วยักษ์ใหญ่รายนี้ก็ไม่สามารถก้าวผ่านวิกฤตจากภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกไปได้ หุ้นของสตาร์บัคส์ ลดลงกว่า 9% สรา้งความไม่มั่นใจให้กับนักลงทุน จนนักวิเคราะห์จากวอลล์สตรีท ตั้งคำถามถึงความยั่งยืนของสตาร์บัคส์ในจีน เเละการเติบโตในตลาดใหญ่รองจากจีนอีกด้วย
ล่าสุด เพื่อกอบกู้สถานการณ์ให้กลับมาดีขึ้น สตาร์บัคส์ แบรนด์กาแฟระดับโลกสัญชาติอเมริกัน จับมือกับอาลีบาบา ยักษ์ใหญ่ด้านธุรกิจอี คอมเมิร์ซ ของจีน ปรับกลยุทธ์ให้บริการส่งกาแฟและขนมและเบอร์เกอรีให้ลูกค้าทั่วประเทศจีน เพื่อพลิกวิกฤตยอดขายที่ลดลงในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ผ่านแอพพลิเคชั่นบนโทรศัพท์มือถือ ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตได้ดีในจีน และเพื่อท้าชนกับกับธุรกิจร้านกาแฟเกิดใหม่
โดยภายใต้ข้อตกลงนี้ ลูกค้าที่อาศัยอยู่ตามเมืองใหญ่ ๆ ของประเทศจีน จะสามารถสั่งและรอรับกาแฟของสตาร์บัคส์ ซึ่งจะไปส่งให้ถึงหน้าประตูบ้าน ผ่านตัวกลางอย่าง “เอ้อเล่อะ ดอท มี” (Ele.me) ซึ่งเป็นบริการจัดส่งอาหารของอาลีบาบา ส่วนช่องทางการชำระเงิน ก็จะผ่าน อาลีเพย์ (Alipay) แพลตฟอร์มชำระเงินออนไลน์ผ่านโทรศัพท์มือถือ ในเครือของอาลีบาบานั่นเอง
ทั้งนี้ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นไปตามกลยุทธ์ใหม่ของสตาร์บัคส์ ที่ตั้งเป้าจะยกระดับวัฒนธรรมกาแฟในจีน และเพื่อกระตุ้นยอดขายในแดนมังกร ซึ่งถือเป็นตลาดใหญ่อันดับ 2 ของบริษัท รองจากสหรัฐอเมริกา โดยคาดว่าบริการเดลิเวอรีกาแฟของสตาร์บัคส์ จะเริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่เดือนกันยายนนี้เป็นต้นไป สำหรับปัจจุบัน สตาร์บัคส์ มีร้านกาแฟอยู่แล้วกว่า 3,400 สาขาทั่วประเทศจีน แต่บริการเดลิเวอรี่กาแฟ จะยังมีเฉพาะในเมืองใหญ่อย่างปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ ซึ่งมีร้านสตาร์บัคส์อยู่แล้วกว่า 150 สาขา
การประกาศความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในประวัติศาสตร์ของบริษัทระดับโลกทั้งสอง ในการนำศักยภาพด้านธุรกิจค้าปลีกและเทคโนโลยีมาผสมผสานกันให้เกิดเป็นประสบการณ์รูปแบบใหม่สำหรับลูกค้า ด้วยแพลตฟอร์มต่างๆ ของอาลีบาบา และโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมรองรับแนวคิด “ค้าปลีกยุคใหม่” สตาร์บัคส์จะสามารถให้บริการกับลูกค้าได้ทั้งทางหน้าร้านและผ่านช่องทางออนไลน์อย่างสะดวกสบาย ไร้รอยต่อ
ความร่วมมือดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการต่อยอดการผลักดันแนวคิดค้าปลีกยุคใหม่ของอาลีบาบา ซึ่งมุ่งพลิกรูปแบบการค้าขายด้วยการผสานประสบการณ์บนช่องทางออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน โดยอาลีบาบาได้นำเสนอแนวคิดค้าปลีกยุคใหม่นี้เป็นครั้งแรกเมื่อปี 2559 ก่อนจะพัฒนาให้กลายเป็นกลยุทธ์ที่มีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมค้าปลีกจวบจนปัจจุบัน
ในเดือนกันยายน สตาร์บัคส์จะร่วมมือกับ Ele.me แพลตฟอร์มการจัดส่งอาหารถึงบ้านชั้นนำของประเทศจีน ซึ่งครอบคลุมเครือข่ายผู้ให้บริการจัดส่งอาหารในระบบกว่า 3 ล้านราย เริ่มต้นบริการจัดส่งกาแฟจากร้านสตาร์บัคส์ 150 สาขา ภายในย่านการค้าสำคัญของกรุงปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ ก่อนจะยกระดับและขยายบริการจัดส่งกาแฟไปยังร้านสตาร์บัคส์มากกว่า 2,000 สาขาใน 30 เมือง ภายในสิ้นปีนี้
นอกจากนั้น สตาร์บัคส์ยังร่วมมือกับซูเปอร์มาร์เก็ต เหอหม่า เพื่อก้าวสู่การเป็นแบรนด์ค้าปลีกแบรนด์แรกที่มี “สตาร์บัคส์ เดลิเวอรี่ คิทเช่น” ภายในพื้นที่สาขาต่างๆ โดย สตาร์บัคส์ เดลิเวอรี่ คิทเช่น จะนำศักยภาพที่โดดเด่นในด้านคลังสินค้าและบริการจัดส่งของเหอหม่ามาเสริมประสิทธิภาพการจัดส่งเครื่องดื่มชา-กาแฟของสตาร์บัคส์ถึงมือลูกค้า ควบคู่ไปกับการจัดส่งจากร้านสาขาของสตาร์บัคส์ที่มีอยู่เดิม ขณะเดียวกัน สตาร์บัคส์ยังจะนำความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับผู้บริโภค และความเชี่ยวชาญในการจัดการคลังสินค้าของเหอหม่ามาพัฒนาศักยภาพในการให้บริการลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น จนสามารถตอบสนองความต้องการของทั้งลูกค้ารายบุคคลและครอบครัวในชุมชนต่างๆ ทั่วทั้งประเทศจีน
กลยุทธ์ความร่วมมือนี้จะเข้ามามีบทบาทในการวางแผนขยายเครือข่ายร้านสตาร์บัคส์สู่สาขาใหม่ๆ ในอนาคต รวมถึงสาขาของสตาร์บัคส์ เดลิเวอรี่ คิทเช่น เพื่อขยายความครอบคลุมพื้นที่และการเข้าถึงลูกค้าของบริการจัดส่งสินค้าถึงบ้านของสตาร์บัคส์ ขณะที่พาร์ทเนอร์หรือพนักงานก็จะสามารถยกระดับประสบการณ์หน้าร้านในแบบของ “Third Place” จุดกึ่งกลางที่ลงตัวระหว่างบ้านและที่ทำงาน ทั้งนี้ สตาร์บัคส์จะเดินหน้าเปิดตัว “สตาร์บัคส์ เดลิเวอรี่ คิทเช่น” ในซูเปอร์มาร์เก็ตเหอหม่าในนครเซี่ยงไฮ้และหางโจว ภายในเดือนกันยายนนี้ ก่อนจะขยายตัวไปยังเมืองต่างๆ ต่อไปในอนาคต
ความร่วมมือเชิงลึกในครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของทั้งสองฝ่าย ในการยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าให้ดียิ่งขึ้นทั่วทั้งประเทศจีน
ขณะที่ ยูโร มอนิเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ได้ทำการสำรวจตลาดกาแฟในประเทศจีน ในปี 2560 พบว่า สตาร์บัคเป็นผู้นำด้วยส่วนแบ่งนำโด่งกว่า 80% รองลงมาคือ แมคโดนัลด์ ด้วยส่วนแบ่งกว่า 8% คอสตา คอฟฟี่ รั้งอันดับสามด้วยส่วนแบ่งกว่า 5%
สตาร์บัค ถือเป็นเชนร้านอาหารที่มีมูลค่าอันดับที่ 2 ของโลก รองจาก McDonald ปัจจุบัน STARBUCKS มี 25,000 สาขาทั่วโลก
ในประเทศไทยมี สตาร์บัค ทั้งสิ้น 273 ร้าน เป็นเพียง 1 ใน 3 ประเทศที่บริษัทแม่ลงมาบริหารเองทั้งหมด และเป็น 1 ใน 2 ประเทศที่ สตาร์บัค มีศูนย์กระจายสินค้าตั้งอยู่นอกอเมริกา
น่าจับตาว่า กลยุทธ์ดังกล่าว สตาร์บัค จะนำมาใช้ในประเทศไทยหรือไม่ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพมหานครที่มีปัญหารถติด จอดรถยาก เพื่อเพิ่มความคุ้มค่า คุ้มราคา
สตาร์บัคออนไลน์ ให้ประสบการณ์ลูกค้าทั้งโลกออฟไลน์ที่ทำได้ดีอยู่แล้วกับโลกออนไลน์ที่กำลังเป็นเทรนด์
ยากที่สินค้าชนิดใดจะปฏิเสธได้ในเวลานี้ …….