Biznews

ไพรซ์ซ่าแนะทางรอดอีคอมเมิร์ซไทยยุคเทคโนโลยีดิสรัปชั่น

ในงานสัมมนา Brand Inside Forum 2019: New Retail Present by KBank ที่จัดขี้นภายใต้หัวข้อ New Retail เผยเคล็ดลับธุรกิจค้าปลีกยุคใหม่ เพื่อตั้งรับ ปรับตัว เปลี่ยนแปลง ในยุคเทคโนโลยีดิสรัปชั่น ภายใต้โจทย์ “อนาคตของธุรกิจค้าปลีกไทย โดยมีผู้คร่ำหวอดในวงการค้าปลีกและธุรกิจอีคอมเมิร์ซ อย่าง “ธนาวัฒน์ มาลาบุปผา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท ไพรซ์ซ่า จำกัด มาร่วมฉายภาพและหาทางออกให้ธุรกิจค้าปลีกในยุค 4.0

ธนาวัฒน์ กล่าวถึงเทรนด์ของอีคอมเมิร์ซไทยว่า ปัจจุบันการใช้เวลาอยู่กับอินเทอร์เน็ตของคนไทยจากทุกอุปกรณ์สูงถึง 9 ชั่วโมง 11 นาทีต่อวันต่อคน สูงที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลก  (ค่าเฉลี่ยทั่วโลก 6 ชม. 42 นาที / วัน) แต่หากเจาะลึกถึงการใช้อินเทอร์เน็ตผ่านสมาร์ทโฟน ไทยเป็นอันดับ 1 ของโลก  คนไทยโดยเฉลี่ย ใช้เวลาบน Mobile Internet 5 ชม. 13 นาที / วัน สูงสุดอันดับ 1 ของโลก (ค่าเฉลี่ยทั่วโลก 3 ชม. 14 นาที / วัน) และการช้อปปิ้งออนไลน์เป็นกิจกรรมอันดับ 5 ที่คนไทยใช้เวลามากที่สุดบนอินเทอร์เน็ต สะท้อนถึงไลฟ์สไตล์คนที่เปลี่ยนไป มือถือกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน ทำให้อีคอมเมิร์ซไทยเติบโตในอัตราสูงต่อเนื่อง

โดยกิจกรรมในเน็ตที่คนไทยใช้เวลามากที่สุด อันดับ1 คือ โซเชียลมีเดีย 93.64% อันดับ 2 อีเมล์ 74.15% อันดับ 3 การค้นหาข้อมูล  70.75% อันดับ 4 ดูหนังฟังเพลง 60.72% และอันดับที่ 5 ช้อปปิ้งออนไลน์ 51.28%

เมื่อพิจารณาจากตลาดค้าปลีกโดยรวมของไทย ที่มีมูลค่า 2-3 ล้านล้านบาท ธุรกิจอีคอมเมิร์ซยังมีสัดส่วนเพียง 2-3% จากมูลค่าค้าปลีกโดยรวม โดยอีคอมเมิร์ซไทยรวมบีทูซีและซีทูซี มีมูลค่าประมาณ 2 แสนล้านบาท แต่เติบโตถึง 30% จากปีก่อนหน้า และคาดว่ามูลค่าจะเพิ่มถึง 1-2 ล้านล้านบาทในปี 2568 หรือเติบโตถึง 6 เท่าตัว

ขณะที่ประเทศอื่นๆ  มีมูลค่า ธุรกิจอีคอมเมิร์ซสูงสุด อาทิ ประเทศจีน มีสัดส่วนสูงที่สุดอยู่ที่ 20% ตามด้วยเกาหลีใต้ 18% สหราชอาณาจักร 16% สหรัฐอเมริกา 13%  ญี่ปุ่น 8% ออสเตรเลีย 7%

ในมุมมองของธนาวัฒน์ เห็นว่า หัวใจสำคัญของค้าปลีกสมัยใหม่อยู่ที่บิ๊กดาต้า เพื่อนำมาต่อยอด วิเคราะห์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด ซึ่งนอกจากจะได้วิธีการพัฒนาสินค้าให้ตรงความต้องการแล้ว ยังรวมถึงการจัดรายการโปรโมชั่น และมองหาโอกาสในการขายสินค้าอื่นๆ ที่ลูกค้ามีโอกาสจะกลับมาซื้อซ้ำได้อีกด้วย

 

นอกจากนี้ ในฐานะกูรูอีคอมเมิร์ซยังแนะนำช่องทางค้าออนไลน์ที่มีโอกาสขายสินค้าว่า โซเชียล มีเดีย เป็นช่องทางที่คนไทยซื้อสินค้าสูงสุด หรืออยู่ที่ 40% โดยเป็นการซื้อผ่านเฟซบุ๊กมากสุด ตามด้วยช่องทางอีมาร์เก็ตเพลส อยู่ที่ 35% อาทิ ลาซาด้า ช้อปปี้ เจดีดอทคอมฯลฯ และที่เหลือเป็นการขายผ่านเว็บไซต์ของบริษัทอยู่ที่ 25%

รวมถึงยังคาดการณ์อีกว่า มูลค่าตลาด E-Commerce ไทย เฉพาะของ SME ซึ่งมียอดขายไม่เกิน 50 ล้านบาทต่อปี ซึ่งในปี 2017 มาจาก 3 ช่องทาง แต่มีสัดส่วนที่ต่างออกไป ดังนี้ Social Media (เช่น Facebook, LINE, Instagram ฯลฯ) 75 %
E-Marketplace (เช่น JD Central, Lazada, Shopee ฯลฯ) 24% Brand ที่ทำ E-Commerce เอง 1 %

 

ทั้งนี้ ปัจจัยหลักในการค้าขายออนไลน์ให้อยู่รอดได้ ในมุมมองของธนาวัฒน์ มีอยู่ 3 ปัจจัยด้วยกันคือ 1. คอนเทนต์ต้องโดนใจลูกค้า 2.ต้องมีคุณค่าเพิ่ม (Value Added) และ 3.ใส่ความคิดสร้างสรรค์  โดยยกตัวอย่างการขายออนไลน์อันน่าทึ่งในการ FB Live ของ “ฮาซัน” ที่ทำยอดขายปลาเค็มทะลุ 20 ล้านต่อเดือนเรียบร้อยแล้ว

โดยธนาวัฒน์ยอมรับว่าการทุกอย่างบนโลกออนไลน์นั้นเริ่มมาจากคอนเทนต์ ดังนั้นถ้าเราอยากจะขายสินค้าออนไลน์ เราต้องสามารถสร้างคอนเทนต์ขึ้นมาเป็นเอกลักษณ์หรือโดนใจผู้ซื้อบนโลกออนไลน์และเป็นที่จดจำได้ ยกตัวอย่างเช่น บังฮาซัน ที่ขายอาหารทะเลจนโด่งดังขึ้นจากช่องทางที่ทั่วโลกไม่ได้ใช้อย่าง Facebook Live และรสชาติอาจจะไม่ได้อร่อยกว่าเจ้าอื่น แต่เขาสร้างการจดจำและทำให้คนกลับมาซื้อซ้ำได้

อย่างไรก็ตาม   3 ช่องทางการขายออนไลน์ที่ SME ไทยควรใช้ ได้แก่ ช่องทาง 1.Social Media  เพราะเป็นช่องทางที่คนไทยใช้จำนวนมาก เห็นได้จากระยะเวลาที่คนไทยใช้อินเทอร์เน็ตยาวนานกว่าเวลานอนเสียอีก
2. Website เพราะคนชอบค้าข้อมูลและเปรียบเทียบก่อนตัดสินใจซื้อ 3. E-Marketplace – อย่าง Lazada, Shopee, JD Central ซึ่งเป็นชอ่งทางที่คนไทยชื่นชอบ เนื่องจากมีส่วนลดสูง ซื้อได้ง่าย อีกทั้งช่องทางชำระเงินที่หลากหลาย จัดส่งรวดเร็ว เป็นต้น

สำหรับข้อมูลสถิติเชิงลึกของไพรซ์ซ่าในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา (1 ม.ค. – 30 มิ.ย. 62) พบว่า ปัจจุบันมีจำนวนสินค้าที่อยู่บนแพลตฟอร์มทั้งหมดราว ๆ  50 ล้านชิ้น โดยมีการคาดการณ์ว่าภายในสิ้นปี 2562 นี้ จำนวนสินค้าจะพุ่งไปแตะที่ 62 ล้านชิ้น ซึ่งมีอัตราการเติบโตจากเมื่อปี 2561 ที่ผ่านมาสูงถึง 29% จากข้อมูลดังกล่าวชี้ให้เห็นถึงทิศทางตลาดอีคอมเมิร์ซของประเทศไทยที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว โดยหมวดหมู่สินค้าที่อยู่บนแพลตฟอร์มของ Priceza มีหลากหลายประเภท ได้แก่ เสื้อผ้าและแฟชั่น เฟอร์นิเจอร์และอุปกรณ์ภายในบ้าน กีฬา สัตว์เลี้ยง และของสะสม สินค้าสำหรับแม่และเด็ก สุขภาพและความงาม เป็นต้น และสินค้าที่อยู่ในแพลตฟอร์มของ Priceza 42% เป็นสินค้าในประเทศ และ 58% เป็นสินค้าจากต่างประเทศ (Cross Border)

ในแต่ละเดือนมีผู้เข้าชมแพลตฟอร์ม Priceza จำนวนเฉลี่ยกว่า 13 ล้านคนต่อเดือน โดยเกิดเป็นอัตราการซื้อขายถึง 4.06% ซึ่งตัวเลขนี้โตขึ้นจากปีที่แล้วทั้งปี 33% ในส่วนของคำค้นหายอดนิยมในแต่ละเดือน นักช้อปจะนิยมค้นหาในคีย์เวิร์ดที่แตกต่างกันไป และอาจสัมพันธ์กับเทรนด์ในช่วงนั้น ๆ อาทิ เดือนเมษายน คำค้นหายอดนิยม คือ Marvel ซึ่งตรงกับช่วงที่เข้าฉายภาพยนตร์ Avengers End Game ของ Marvel เช่นกัน สำหรับหมวดหมู่สินค้าที่มียอดขายสูงสุด ได้แก่ สินค้าสุขภาพและความงาม 27% เสื้อผ้าและแฟชั่น 17% เครื่องใช้ไฟฟ้า 11% เฟอร์นิเจอร์และอุปกรณ์ภายในบ้าน 9% และโทรศัพท์-อุปกรณ์สื่อสาร 7%

อัพเดต Priceza Money หลังจากเปิดตัวเต็มรูปแบบเพื่อให้บริการค้นหาและเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ทางการเงิน ได้แก่ ประกันภัยรถยนต์ สินเชื่อส่วนบุคคล บัตรเครดิต ภายใต้https://money.priceza.com และได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรชั้นนำกว่า 10 ราย ปัจจุบันมีแผนประกัน จำนวน 1.2 ล้านแผนประกัน ยอดขายในแต่ละผลิตภัณฑ์โตขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์ประกันรถยนต์ โตขึ้นถึง 8 เท่า กลุ่มบัตรเครดิต โตขึ้น 5 เท่า และ สินเชื่อบุคคลโตขึ้น 7 เท่า เป็นต้น นอกจากบริการที่กล่าวมานี้ Priceza Money ยังได้เพิ่มบริการใหม่เพื่อรองรับความต้องการของผู้ใช้งานมากขึ้น ได้แก่ บัตรกดเงินสด บัตรผ่อนสินค้า และประกันการเดินทาง ซึ่งผลิตภัณฑ์ทั้งหมดนี้ภายใต้การบริการ ค้นหา เปรียบเทียบ และสมัครในคลิกเดียว

ล่าสุด Priceza เดินหน้าเปิดตัวโมเดลธุรกิจใหม่ ตอกย้ำความเป็นผู้นำ E-Commerce Hub โดยเปิดตัว E-Commerce Distribution Platform จับมือพันธมิตรในหลากหลายธุรกิจ พร้อมเสริมจุดแกร่งซึ่งกันและกัน รองรับพฤติกรรมการซื้อสินค้าของผู้บริโภคบนแพลตฟอร์มออนไลน์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

 

 

Related Articles

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Back to top button
X
%d bloggers like this: