ไทยเบฟซื้อใจโชห่วยไทย ปั้น ‘ร้านโชคชัย’ ต่อยอดธุรกิจปลายน้ำ

ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัศโควิด-19 ชนิดยังหาจุดจบแทบไม่เจอนั้น การแข่งขันการทำธุรกิจก็ไม่สามารถหยุดยั้งได้เช่นกัน ตรงกันข้ามกลับเพิ่มความร้อนแรงเพื่อเรียกความสนใจจากผู้บริโภคที่นับวันกระเป๋าแบน
ธุรกิจค้าปลีก แม้จะบอบช้ำอย่างหนักจากผลกระทบโควิดแต่ก็ยังพอมีสีสันให้ได้เห็นกัน โดยล่าสุด ยักษ์ใหญ่อย่างไทยเบฟฯ เข้าร่วมวงร้านโชห่วยซึ่งถือเป็นธุรกิจปลายน้ำด้วยการเปิดตัวโปรเจกรูปแบบร้านค้าที่ใช้ชื่อว่า ร้านโดนใจ เพื่อเป็นการเปิดทางให้ร้านโชห่วยเฉพาะร้านที่มียอดสั่งซื้อสินค้าจากพนักงานขายหน่วยรถเงินสด หรือ แคชแวนที่วิ่งส่งสินค้าทั่วราชอาณาจักรของไทยเบฟฯ ตามที่กำหนดเข้าร่วมโครงการ
ทั้งนี้ หน่วยรถแคชแวนจะมีหน้าที่ทำการสำรวจ ประเมินร้านค้าที่เข้าข่าย โดยร้านค้าที่ผ่านคุณสมบัติกับร้านโชคชัยที่มาพร้อมสโลแกน ‘ขายดี มีกำไร ใส่ใจความสัมพันธ์’ จะได้รับสิ่งต่างๆ ดังนี้ 1. ตกแต่งให้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย 2.ซื้อง่าย ขายคล่อง สินค้าดีมีกำไร 3.บริการจัดเรียงสินค้า คัดเลือกสินค้าขายดี ทำกำไรสู้กับร้านสะดวกซื้อสมัยใหม่ หาสินค้าถูกตังค์ ส่งให้
นอกจากนี้ ประเภทร้านโชคชัย จะพิจารณาตกแต่งร้านตามเงื่อนไข ความเหมาสมและขนาดของร้านค้าเพื่อปรับภาพลักษณ์ร้านค้าให้ดูทันสมัยมากยิ่งขึ้น รวมทั้งจัดรายการส่งเสริมการขาย ทั้งการระบายสินค้าออก กิจกรรมเพิ่มกำไรการขาย กิจกรรมจัดเรียงเบียร์ในตู้แช่ กิจกรรมจัดเรียงสุรา ตลอดจนกิจกรรมส่งเสริมการขายอื่นๆ ประจำเดือน
จะเห็นได้ว่า การลงสนามของยักษ์ใหญ่ไทยเบฟในครั้งนี้ก้าวข้ามข้อจำกัด ที่คู่แข่งอย่างร้านถูกดีมีมาตรฐานปลายประการ ทั้งการตกแต่งร้านค้าซึ่งผู้ที่เข้าร่วมกับร้านถูกดีฯ ต้องออกค่าใช้จ่ายเอง รวมทั้งการวางเงินค่าประกันหรือเงินมัดจำราว 200,000 บาทอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ ‘บิ๊กซี’ อีกหนึ่งธุรกิจในอาณาจักรเจ้าสัวไทยเบฟ เคยเปิดตัวร้านที่ใช้ชื่อว่า ‘ร้านโดนใจ’ หวังพลิกฟื้นโชห่วยด้วยการชูจุดเด่นเงินมัดจำที่ 1 แสนบาทน้อยกว่าค่ายคู่แข่งร้านถูกดีมีมาตรฐานที่ตั้งไว้ 2 แสนบาท
นอกจากเงินมัดจำจะจ่ายน้อยกว่าแล้ว ร้านโดนใจ ยังนำเสนอค่าบริการจากยอดขายที่ 0.5% ต่อเดือน (ค่าบริการขั้นต่ำ 5,000 บาท) ตกแต่งร้านให้ใหม่ มูลค่า 100,000-400,000 บาท ลงทุนอุปกรณ์ภายในร้าน โดยมี 3 รูปแบบคือไซส์ S 1คูหา พื้นที่ร้าน 40-60 ตารางเมตร สินค้า 1,300 รายการ
ไซส์ M ขนาด 2 คูหา พื้นที่ร้าน 60-100 ตารางเมตร สินค้า 1,500 รายการ
ไซส์ L ขนาด 3 คูหา พื้นที่ มากกว่า 100 ตารางเมตรขึ้นไป สินค้า 1,800 รายการ
ส่วนคุณสมบัติผู้สมัคร เป็นเจ้าของร้านโชห่วย มีความตั้งใจทำธุรกิจ มีเงินทุนในการสั่งซื้อสินค้ามาจำหน่าย 500,000-1,000,000 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดของร้านค้า
มีเงินค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญา 100,000-300,000 บาท โดยจะได้รับคืนเมื่อปฏิบัติตามสัญญา
ส่วนเงื่อนไขการเปิดร้านถูกดีมีมาตรฐานของฝั่งพี่ใหญ่คาราวบาว มีดังนี้ 1.เจ้าของร้านโชห่วยเดิมต้องลงุทนรีโนเวทร้านเองทั้งหมด 2.วางเงินมัดจำ 200,000 บาทส่วนตัวสินค้าทางร้านถูกดีฯ จะทำการลงทุนให้ทั้งหมดคิดเป็นมูลค่ามากกว่า 1 ล้านบาท รวมชั้นวาง เคาน์เตอร์ ระบบ POS ตู้แช่ และสินค้าทั้งหมด ภายใต้เงื่อนไขดังนี้
1.ร้านต้องส่งเงินที่ขายได้ทั้งหมดให้ทางบริษัทก่อน 21.00 ของทุกวัน
2.ร้านจะได้รับการปันผลกำไร 85:15 ทุกวันที่ 15 ของเดือน
3.ค่าสาธารณูปโภค(ค่าไฟฟ้า)ทางร้านจ่ายเอง
ปัจจุบัน ร้านถูกดี มีมาตรฐาน มีสาขาทั้งหมดกว่า 1,000 ร้านค้า เป้าหมายต่อไปคือเพิ่มเป็น 50,000 สาขาในปี 2566
จะเห็นได้ว่า จากปรากฏการณ์ดังกล่าวถือเป็นการท้าชนของ 2 ยักษ์อย่าง ‘คาราบาว’ ที่กล้าหาญวัดรอยเท้า ‘เจ้าสัวเจริญ’ ไล่มาตั้งแต่การรุกรบสินค้าครบพอร์ต ตั้งแต่เหล้าขาว ยัน เหล้าสี ภายใต้ ‘บริษัท ตะวันแดง 1999 จำกัด’ ผู้ผลิตเหล้าขาว (White Spirit) แบรนด์ตะวันแดง ซึ่งถือเป็นสมรภูมิที่ กลุ่มไทยเบฟ กินรวบเกือบทั้งตลาด โดยครองส่วนแบ่งตลาดเหล้าขาวกว่า 90% จากมูลค่าตลาดรวมไม่ต่ำกว่า 80,000 ล้านบาท
ต้องลองวัดกันอีกครั้งว่า ในอีกหนึ่งสมรภูมิสำคัญที่ทั้งคู่ร่วมวงอย่างค้าปลีก จะดุเด็ดเผ็ดมันส์ขนาดไหน เพราะเชื่อเหลือเกินว่า แม้ว่าไทยเบฟจะค่อนข้างได้เปรียบหลายขุม แต่ผู้ชายหัวใจนักสู้ที่ชื่อ ‘เสถียร เศรษฐสิทธิ์’ คงไม่ออมมือแน่นอน…