“โอสถสถา” ควัก 5,000 ล้านยื่นไฟลิ่งขายหุ้น 603.75 ล้านหุ้น
บริษัทโอสถสภา ซึ่งเป็นบริษัทประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคของคนไทยโดยตระกูลโอสถานุเคราะห์ ที่มีประวัติยาวนานกว่า 125 ปี ได้ขอเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อระดมทุนมาใช้ในการขยายธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงพัฒนาปรับปรุงกระบวนการผลิต การจัดจำหน่ายและส่วนหนึ่งจะนำไปใช้ชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน
ทั้งนี้ โอสถสภาได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 603,750,000 หุ้น จากปัจจุบันมีทุนจดทะเบียน 3,003.75 ล้านบาท
ซึ่งผู้ถือหุ้นรายใหญ่ได้แก่ นายนิติ โอสถานุเคราะห์ ถือหุ้น 624,250,000 หุ้น คิดเป็น 25% ภายหลังจากเสนอขาย IPO แล้วจะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 20.78%, Orizon Limited 604,148,600 หุ้น คิดเป็น 24.19% จะลดการถือหุ้นลงเหลือ 537,148,600 หุ้น คิดเป็น 17.88% และนายเพชร โอสถานุเคราะห์ ถือหุ้น 149,735,700 หุ้น คิดเป็น 6% จะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 4.98%
สำหรับการระดมทุนครั้งนี้ จะนำมาลงทุนตามแผนงานที่คาดว่าจะใช้เงินลงทุนกว่า 5,000 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.การก่อสร้างโรงงานผลิตเครื่องดื่มแห่งใหม่ในเมียนมา คาดว่าจะใช้เงินทุนเฟสแรก 2,000 ล้านบาท คาดแล้วเสร็จปลายปี 2562
2.การเปลี่ยนเตาหลอมแก้วใหม่ที่โรงงานผลิตขวดแก้ว คาดว่าจะใช้เงินลงทุนทั้งหมด 868 ล้านบาท ซึ่งลงทุนไปแล้วในปี 2560 รวม 152 ล้านบาท และจะลงทุนเพิ่มในปีนี้อีก 716 ล้านบาท
3.การสร้างเตาหลอมแก้วใหม่ที่โรงงานผลิตขวดแก้วในสวนอุตสาหกรรมโรจนะ คาดว่าจะใช้เงินลงทุน 1,800 ล้านบาท ในปี 2561-2562
และ 4.การเพิ่มสายการผลิตสินค้าตราซี-วิตใหม่อีก 44 ล้านขวด/ปีในปี 61 คาดว่าจะใช้เงินลงทุน 80 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนลงทุนในปีนี้สำหรับซ่อมบำรุงเครื่องจักรและอุปกรณ์ 206 ล้านบาท และลงทุน 85 ล้านบาทในการใช้เศษแก้วในกระบวนการผลิตขวดแก้วให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและการปรับปรุงที่ดินและสิ่งปลูกสร้างสำหรับโรงงานผลิตและอาคารสำนักงานของบริษัท 248 ล้านบาท และรายจ่ายลงทุนอื่น ๆ อีก 146 ล้านบาท
สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2560 มีรายได้จากการขาย 25,026.8 ล้านบาท รายได้จากการให้บริการ 850.7 ล้านบาท ส่งผลให้มีรายได้รวม 26,210.7 ล้านบาท จากปี 2559 ที่บริษัทมีรายได้รวม 33,003.7 ล้านบาท ขณะที่ค่าใช้จ่ายรวม 22,850.3 ล้านบาท ทำให้บริษัทมีกำไร 2,939.2 ล้านบาท จากปี 2559 ที่มีกำไร 2,980.5 ล้านบาท
ในส่วนของรายได้ที่ลดลง 6,793.0 ล้านบาท หรือ 20.6% เป็นผลจากการลดลงของรายได้บริการบริหารจัดการด้านซัพพลายเชน 4,252.4 ล้านบาท จากการยกเลิกธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าของยูนิชาร์ม และการลดลงของยอดขายผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล รวมถึงการลดลงของรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม