แบรนด์ที่เข้าใจและปรับตัวตามพฤติกรรมผู้บริโภคจะอยู่รอดในยุคดิจิตอล การทำตลาดในยุคที่ข้อมูลข่าวสารเดินทางรวดเร็วอย่างมากในเวลานี้
ใครที่ไม่ปรับตัวให้สอดคล้องไปกับสถานการณ์คงยากที่จะยืนระยะอยู่ต่อไปได้ เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงทุกวินาทีก็ว่าได้
“มายด์แชร์” บริษัทเอเยนซี่เครือข่ายด้านการตลาดและการสื่อสาร ได้เผยถึงความท้าทายที่แบรนด์ยังคงเผชิญในโลกที่สื่อกระจายตัวข้ามแพลตฟอร์มและหน้าจอไปมา หรือที่เรียกว่า fragmentation ตลอดจนการดำเนินชีวิตของผู้บริโภคที่ใช้เวลาในความสนใจของพวกเขาบนมือถือตลอดเวลานั้น ปัทมวรรณ สถาพร กรรมการผู้จัดการ มายด์แชร์ ให้ความเห็นว่า ผู้บริโภคมีข้อมูลอยู่ในมือทุกที่และตลอดเวลา แต่ขึ้นอยู่ว่าผู้บริโภคจะเลือกรับข้อมูลนั้นมากหรือน้อยขนาดไหน นักการตลาดจึงควรพิจารณาว่าในโลกดิจิตัลและเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าในยุคนี้ เราจะใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่มีอยู่อย่างเรียลไทม์อย่างไร เพื่อให้เกิดความได้เปรียบต่อคู่แข่งขัน
มายด์แชร์ยังได้ให้มุมมองต่ออุตสาหกรรมสื่อในปี 2560 ดังต่อไปนี้ เม็ดเงินโฆษณาจะโตขึ้น 12% เทียบเท่าปี 2558 หรือมีมูลค่าหนึ่งแสนสองหมื่นล้านบาท ดิจิตัลทีวีและสื่อออนไลน์ยังคงเป็นแพลตฟอร์มที่สำคัญ สื่อวิทยุและสิ่งพิมพ์ยังคงเป็นสื่อที่ต้องปรับตัวอย่างหนัก ในขณะที่สื่อนอกบ้านยังมีพื่นที่ให้พัฒนาไปได้อีกมาก
ส่วนเทรนด์ที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนในปี 2560 มีดังนี้ ผู้บริโภคมีความเป็นปัจเจกมากขึ้น นั้นหมายความว่าผู้บริโภคเลือกที่จะรับคอนเทนท์ที่ตรงความต้องการของตนมากว่ารับคอนเทนท์สำหรับแมสทั่วๆไป (The Audience of the Individual) โลกทั้งใบอยู่ที่ปลายนิ้ว เทคโนโลยีทำให้ผู้บริโภคได้รับข้อมูลด้วยความรวดเร็วและเชื่อมโยง (The World on the Fingertips) นักการตลาดต้องสร้างเนื้อหาที่สำคัญอย่างแท้จริงเพื่อให้ได้รับส่วนร่วมและความไว้วางใจจากผู้บริโภค (Content with a purpose) การเกิดขึ้นของเจนเนอเรชั่นที่ใช้เวลาอยู่บนหน้าจอมือถืออย่างเดียว (Progression to Mobile Only Consumers) การใช้เทคโนโลยีสร้างประสบการณ์ร่วมให้กับผู้บริโภค เช่น AR หรือ VR แบรนด์ต้องพิจารณาในเรื่องนี้เพื่อสร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่งขัน (Wearable revolution)
ท้ายที่สุดแล้ว แบรนด์ต้องปรับตัวและการสื่อสารการตลาดให้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคเพื่อความอยู่รอดในยุคที่สื่อทุกอย่างมีความเชื่องโยงกัน
