เปิดเบื้องหลัง ดีลข้ามสายพันธ์ ! “มาม่า” ร่วมทุนอนันดาฯ
รอบอาทิตย์นี้ข่าวที่สร้างความเซอร์ไพร์สให้กับวงการสินค้าอุปโภคบริโภคมากที่สุดคงต้องยกให้กับข่าว “มาม่า” ผู้นำในตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปประกาศทุ่มกว่า 1,000 ล้านบาทร่วมทุนกับค่าย “อนันดา” เจ้าพ่อคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า ถือเป็นปฏิบัติการข้ามสายพันธ์อีกหนึ่งเคสที่น่าสนใจ จนหลายคนอดตั้งคำถามไม่ได้ว่า ทำไมจึงเกิดปรากฏการณ์เช่นนี้
มาม่า มองถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการร่วมทุนดังกล่าวว่า จะช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจใหม่ รวมทั้งจะได้รับผลประโยชน์ในรูปของเงินปันผลซึ่งเป็นการเพิ่มรายได้และกำไรสุทธิในอนาคตให้แก่บริษัทและเปิดโอกาสให้สามารถดำเนินการไปสู่ธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ในอนาคต
พิพัฒน์ พะเนียงเวทย์ รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TFMAMA ผู้ผลิตและจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และผลิตภัณฑ์อาหารแบรนด์ มาม่า เล่าถึงเบื้องหลังดีลครั้งนี้ว่า ไม่มีอะไรสลับซับซ้อน แค่ช่วงหลายปีที่ผ่านมาบริษัทไม่ได้ลงทุนอะไรใหม่ๆ ทำให้กระแสเงินสดเหลือพอที่จะขยายธุรกิจไปยังธุรกิจใหม่ๆ ซึ่งสร้างโอกาสทำรายได้และผลตอบแทนที่ดี จึงเลือกลงทุนลงทุนอสังหาฯ เพราะมองว่าให้ผลตอบแทนสูง
เมื่อเปิดงบการเงินล่าสุดของ “มาม่า” เมื่อสิ้นเดือนมิถุนายน 2561 พบว่า มีกระแสเงินสดและรายการเทียบเท่า เงินสด อย่างเช่น เงินฝากในธนาคาร อยู่กว่า 3,653.19 ล้านบาท มีรายได้รวม 11,057.06 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 1,535.14 ล้านบาท มีสินทรัพย์รวม 30,547.77 ล้านบาท มีหนี้สิน 3,826.24 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้น 20,741.40 ล้านบาท
ถือเป็นการเบนเข็มธุรกิจที่น่าจับตา เพราะจะว่าไปแล้ว “มาม่า” แม้จะทำยอดขายต่อปีได้มากกว่า “หมื่นล้านบาท” สามารถทำ “กำไร” ได้เป็นพันล้านบาท แต่การขายมาม่าเพียงซองละ 6 บาท กว่าจะได้หมื่นล้านต้องใช้เวลา แต่ถ้าพัฒนาอสังหาฯ กำไรดีกว่าเห็นๆ ถือเป็นการต่อยอดเงินให้เจริญเติบโต
บริษัท เพรซิเดนท์ ดี เวนเจอร์ จำกัด จัดตั้งขึ้นเพื่อประกอบธุรกิจลงทุน และ/หรือให้กู้ยืมเงินในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยมีทุนจดทะเบียน 1,010 ล้านบาท โดยบริษัทฯ และบริษัทย่อยแห่งหนึ่งจะมีสัดส่วนการลงทุน 70% และ 29% ตามลำดับของทุนจดทะเบียนในบริษัทดังกล่าว บริษัทดังกล่าวได้จดทะเบียนจัดตั้งเป็นบริษัทจำกัดกับกระทรวงพาณิชย์เมื่อวันที่ 3 ส.ค.2561
ทั้งนี้ บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ฯ เป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจด้านการผลิตและจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป โดยมีความมุ่งมั่นในการผลิตอาหารเพื่อตอบสนองความพึงพอใจ ภายใต้ผลิตภัณฑ์ที่มีแบรนด์ที่มีชื่อเสียง “มาม่า” (MaMa) ขณะเดียวกัน ยังเป็นสินค้าที่อาจจะสามารถชี้วัดถึงสภาพเศรษฐกิจของกลุ่มผู้บริโภค โดยในครึ่งปีแรก บริษัทไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ฯ มียอดขายรวมอยู่ที่ 10,712.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 381.86 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.70 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2560 มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 2,010 ล้านบาท โดยบริษัทมีกระแสเงินสดสุทธิที่ได้จากการดำเนินกิจการ 2,716.92 ล้านบาท
ที่ผ่านมาเครือสหพัฒน์ มีการเปิดตลาดอสังหาริมทรัพย์มาแล้วอย่างต่อเนื่อง ทั้งการร่วมทุนกับบริษัท ชาญอิสสระ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ตั้งบริษัทใหม่ บริษัท ร่วมอิสสระ จำกัด พัฒนาโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ที่หัวหิน ภายใต้อาณาจักรทิวทะเลเอสเตท
ดีลนี้จึงตอบโจทย์ทั้งฝั่ง “มาม่า” ที่เริ่มขยับตัวออกจากธุรกิจอาหารโดยเฉพาะตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่เริ่มอืดตัวไปสู่อสังหาฯ ส่วนฝั่งอนันดาฯ กำลังมองหาเงินทุนมาพัฒนาโครงการต่อ ถือเป็นกลยุทธ์ที่ Win Win ทั้ง 2 ฝ่าย
อย่างไรก็ตาม การ Diversify ธุรกิจของมาม่า อาจดูเหมือนจะข้ามห้วยแบบสุดๆ แต่หากไปดูผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัท อนันดาฯ จะพบชื่อของ “พิพัฒ พะเนียงเวทย์” บิ๊กบอสของมาม่าถือหุ้นอยู่ในนั้น 1.31% เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ลำดับที่ 7 สะท้อนความสนใจและปูทางสู่ธุรกิจอสังหาฯไว้ระดับหนึ่งแล้ว
ด้านบริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ต้องถือว่าเป็นบริษัทที่มีความโดดเด่น และเชี่ยวชาญ ในเรื่องของการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมแนวรถไฟฟ้า แต่ละโครงการจะอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพที่สูงทั้งสิ้น
ทั้งนี้ อนันดาฯ ได้เผยยอดโอนในไตรมาส 2 ที่ระดับ 6,759 ล้านบาท ซึ่งรวมยอดโอนจากโครงการร่วมทุน เพิ่มขึ้น 147% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สูงกว่าเป้าที่วางไว้ 28% นอกจากนี้ ยังประสบความสำเร็จในการสร้างผลกำไรสุทธิที่ 584 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 109% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 303% จากช่วงเดียวกันของไตรมาสก่อน โดยการเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากบริษัทฯ ได้รับรู้ผลกำไรจากโครงการร่วมทุนสูงถึง 539 ล้านบาท จากที่มีผลขาดทุน 300 ล้านบาท ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้ ยังมีอัตรากำไรสุทธิสูงถึง 24% จาก 7% ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
และแม้ว่าบริษัทสามารถสร้างยอดขายจากโครงการใหม่ และโครงการที่เปิดตัวไปก่อนหน้า จำนวน 10,618 ล้านบาท สูงกว่าเป้าที่วางไว้ถึง 39% บริษัทฯ ยังคงเป้ายอดขายทั้งปีที่ 35,100 ล้านบาท ทั้งนี้ มียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ณ สิ้นไตรมาสสองปี 61 จำนวนกว่า 54,600 ล้านบาท รองรับการโอนใน 3 ปีข้างหน้า เพิ่มขึ้น 10% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 2% จากไตรมาสก่อน และสิ้นไตรมาส 2 บริษัทยังมีกระแสเงินที่แข็งแกร่งมากกว่า 1,500 ล้านบาท.
สำหรับรายละเอียดของการลงทุนกับ “อนันดา” ครั้งนี้ ตามที่รายงานกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ก็คือ การนำบริษัท เพรซิเดนท์ ดี เวนเจอร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของมาม่า ที่ได้ลงทุนสัดส่วน 70% เป็นบริษัทไปร่วมทุนกับกลุ่มอนันดา จัดตั้ง 3 บริษัท ประกอบด้วย
1.บริษัท ไอดีโอโมบิรางน้ำ จำกัด ทุนจดทะเบียน 795.99 ล้านบาท บริษัทลูกของมาม่า ถือหุ้น 49% คิดเป็นมูลค่าลงทุนกว่า 390.03 ล้านบาท ซึ่งไอดีโอโมบิรางน้ำ จะซื่อหุ้นใน บริษัท อนันดา เอ็มเอฟ เอเชีย ราชปรารภ จำกัด ของอนันดา ซึ่งประกอบธุรกิจพัฒนา โครงการไอดีโอโมบิรางน้ำ จำนวน 74% มีมูลค่าทั้งสิ้นจำนวน 402,892,891 บาท
2.บริษัท ไอดีโอ ดิว สุขุมวิท 36 จำกัด ทุนจดทะเบียน 664.43 ล้านบาท บริษัทลูกของมาม่า ถือหุ้น 49% คิดเป็นมูลค่าลงทุนกว่า 325.57 ล้านบาท ซึ่งไอดีโอคิว สุขุมวิท 36 จะซื้อหุ้นในบริษัท อนันดา เอ็มเอฟ เอเชีย ทองหล่อ จำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ ในโครงการไอดีโอคิว สุขุมวิท 36 จำนวน 51% จากอนันดา โดยมีมูลค่าทั้งสิ้นจำนวน 339,751,689 บาท
3.บริษัท ไอดีโอ นิว พระราม 9 จำกัด ทุนจดทะเบียน 599.67 ล้านบาท บริษัทลูกของมาม่า ถือหุ้น 49% คิดเป็นมูลค่าลงทุนกว่า 293.88 ล้านบาท ซึ่งไอดีโอ นิว พระราม 9 จะซื้อหุ้นใน บริษัท อนันดา เอ็มเอฟ เอเชีย รามคำแหง จำกัด ที่ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ ในโครงการไอดีโอ นิว พระราม 9 จำนวน 51% จากอนันดา โดยมีมูลค่าทั้งสิ้น 303,136,242 บาท
ต้องจับตาดูกันต่อไปว่าในอนาคต “มาม่า” จะขยายธุรกิจอะไรต่อไปอีก เพราะที่ผ่านมาได้ควบรวมกันแล้ว ระหว่าง “มาม่า” กับ “ฟาร์มเฮ้าส์” ซึ่งเป็นธุรกิจในเครือ ครั้งนี้ถือเป็นธุรกิจนอกเครือ กับ “อนันดา”
ส่วนจะมีโปรโมชั่นซื้อคอนโดอนันดาแถมมาม่าฟรีอย่างที่โลกโซเชียลแซวกันหรือไม่นั้น ต้องรอดู