เปิดรายได้ อาชีพ ‘Delivery’ บอกเลย ไม่ธรรมดา !!!

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือ ‘โควิด-19’ ทำให้ยอดสั่งสินค้าออนไลน์ในประเทศโตสวนกระแสถึง 80% เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคหลีกเลี่ยงสถานที่ชุมชนหันมาเลือกสั่งสินค้าออนไลน์มากขึ้น กลายเป็นโอกาสสำหรับอาชีพ Delivery ที่สร้างรายได้ให้กับคนที่กำลังมองหางานในช่วงนี้
Grabfood รายได้เท่าไหร่
บริษัทสิงคโปร์ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มรับ-ส่งอาหารกับพาร์ตเนอร์ของคนกรุงฯ เปิดให้บริการในไทยเมื่อกลางปี 61 โดยผู้ขับ Grabfood จะมีรายได้จากค่าส่งดังนี้
ค่าบริการส่งอาหาร 50 บาทต่อครั้ง (หักค่าคอมมิชชั่น 15% ได้รับจริง 42.50 บาท)
ค่าส่งที่เก็บเงินสดจากลูกค้า 10 บาทต่อครั้ง (หักค่าคอมมิชชั่น 15% ได้รับจริง 8.50 บาท)
ค่าส่งเพิ่มเติมตามระยะทาง 10 บาทต่อกิโลเมตร (มากกว่า 6 กิโลเมตร) (หักค่าคอมมิชชั่น 15%)
*หมายเหตุ : ค่าบริการต่างๆ ยังต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 3% แต่สามารถยื่นขอคืนภาษี ณ ที่จ่ายได้ ในการยื่นภาษีประจำปี
นอกจากรายได้แล้ว พนักงานยังได้เข้าร่วม Grab Driver Benefits มีสิทธิประโยชน์จากร้านค้ามากมายที่เป็นพาร์ทเนอร์กับ Grab อย่างการซื้อของแบบผ่อน ส่วนลดสินค้า ประกันรถจักรยานยนต์ และอื่นๆ ด้วย
ที่สำคัญจุดแข็งของ Grabfood คือ มองเห็นยอดรายได้รวมตั้งแต่ก่อนกดรับงาน, เลือกวันเวลาทำงานได้อง, แอปพลิเคชั่นเปิดให้บริการในกรุงเทพและปริมณฑล รวมถึงต่างจังหวัดในหัวเมืองต่างๆ แถมสมัครฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย
ส่วนจุดอ่อน คือ เงินค่าบริการส่งอาหารจะได้รับในวันถัดไป และได้รับเงินค่าส่งเพิ่มเติมตามระยะทางทุกวันพุธ, ต้องกดแย่งลูกค้าเองผ่านแอปฯ และวิ่งรับงานได้แค่ 10.00-22.00 น.
lineman
แพลตฟอร์มบริการรูปแบบ O2O (Online to Offline) แม้ว่าคู่แข่งจะเพิ่มมากขึ้น แต่รายได้ของเขาก็ยังเติบโตต่อเนื่อง โดยค่าตอบแทนของการบริการส่งอาหารแบ่งได้ดังนี้
ค่าบริการส่งอาหารเริ่มต้น 55 บาทต่อครั้ง (หักค่าคอมมิชชั่น 15% ได้รับจริง 46.75 บาท)
ค่าส่งเพิ่มเติม 9 บาทต่อกิโลเมตร หากระยะทาง 1 กิโลเมตรขึ้นไป (หักค่าคอมมิชชั่น 15% ได้รับจริง 7.65 บาท)
บริการช่วงนอกเวลาทำการ ตั้งแต่ 21.00-22.59 น. ได้เพิ่ม 50 บาท (หักค่าคอมมิชชั่น 15% ได้รับจริง 42.5 บาท)
บริการช่วงนอกเวลาทำการ ตั้งแต่ 23.00-06.00 น. ได้เพิ่ม 100 บาท (หักค่าคอมมิชชั่น 15% ได้รับจริง 85 บาท)
*หมายเหตุ : ค่าบริการต่าง ๆ ถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 3% แต่สามารถยื่นขอคืนภาษี ณ ที่จ่ายได้ ในการยื่นภาษีประจำปี
lalamove
สำหรับจุดแข็ง คือ สามารถเลือกกดรับงานได้เอง, รับงานได้ถึง 2 แอปฯ คือ LINE MAN และ LALAMOVE, วิ่งรับงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง, แอปฯ เปิดบริการทั้งในกรุงเทพฯ และพัทยา แถมรับเงินทันทีหลังจบงาน
ส่วนจุดอ่อน คือ ต้องกดแย่งลูกค้าเองผ่านแอปฯ และมีค่าสมัครแรกเข้า 400 บาท
FoodPanda
บริการขนส่งอาหาร ตอบโจทย์คนเมืองที่เน้นสะดวก รวดเร็ว โดยผู้ขับรถส่งอาหารจะมีรายได้ดังนี้
รายได้เฉลี่ยอยู่ที่ 100 บาทต่อชั่วโมง (หักภาษี ณ ที่จ่าย 3%) และมีโอกาสสร้างรายได้สูงถึง 36,000 บาทต่อเดือน
จุดแข็ง คือ มีระบบจ้างงานแบบประจำ โดยมีสวัสดิการพนักงานให้, ไม่ต้องกดแย่งงาน เพราะมีระบบจ่ายงาน, แบ่งโซนชัดเจน ไม่ต้องขับขี่ระยะไกล, วิ่งรับงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง, ครอบคลุมพื้นให้บริการในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดในหัวเมืองต่างๆ แถมสมัครฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย
จุดอ่อน คือ เลือกรับงานเองไม่ได้, ไม่ได้รับเงินทันที โดยจะจ่ายเงินตามรอบบัญชีของบริษัท และรับเฉพาะพนักงานประจำไม่เหมาะทำเป็นพาร๋ตไทม์
get
GET ก่อตั้งโดยคนไทย และได้เงินลงทุนจาก Go-Jek Tech Startup จากอินโดนีเซีย ตั้งขึ้นโดย “Nadiem Makarim” ที่ปัจจุบันกลายเป็นสตาร์ทอัพระดับ Unicorn (มูลค่าการระดมทุนมากกว่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ) โดยเริ่มมาจาก Get บริการขนส่ง และขยายเพิ่มเป็น Getfood ที่มีไว้สำหรับบริการส่งอาหาร โดยมีค่าตอบแทนจากการขนส่งดังนี้
ขึ้นอยู่กับระยะทาง ช่วงเวลา สภาพจราจร และความต้องการของลูกค้าในช่วงเวลานั้น ๆ โดยเฉลี่ยผู้ขับขี่จะมีรายได้เดือนละ 15,000-25,000 บาท
โดยประเภทอาหารที่ขายดีใน Get Food ได้แก่สตรีทฟู้ด 50%เครื่องดื่ม 40% อาหารรับประทานเล่น 10%
จุดแข็ง คือ สมัครฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายและค่าแรกเข้า, วิ่งรับงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง, มีประกันสุขภาพและประกันภัยรถจักรยานยนต์, มีแผนเงินสะสมประจำปีและเงินช่วยเหลือยามฉุกเฉิน และรับเงินหลังจบงาน
จุดอ่อน คือ ยังไม่เปิดบริการในพื้นที่ต่างจังหวัด, ร้านอาหารที่เข้าร่วมกับแอปฯ อาจยังไม่มากเท่ากับแอปฯ อื่นๆ ที่เปิดบริการมาก่อนหน้านี้
ขอบคุณข้อมูล Sanook.com