Biznews

เทรนด์รักสุขภาพไทย ‘บูม..หนักมาก’ ไฮโซตระกูลดังแห่ซบ

เป็นที่รู้กันว่าเทรนด์รักสุขภาพทั้งในประเทศไทยและทั่วโลกกำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมากเพราะใครๆ ก็อยากดูดีด้วยกันทั้งนั้น ทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องทั้งหลายพากันเติบโตสวนกระแสกับอีกหลายธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ค่อยเป็นใจสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะในประเทศไทยพบว่า ธุรกิจด้านสุขภาพปี 2561 มีการจดทะเบียนเพิ่มสูงสุดในรอบ 5 ปี

ทั้งนี้ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้เปิดเผยมูลค่าการลงทุนธุรกิจด้านสุขภาพของผู้ประกอบธุรกิจไทยเพิ่มสูงสุดในรอบ 5 ปี เนื่องจากสังคมกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัย และคนส่วนใหญ่หันมาใส่ใจสุขภาพมากยิ่งขึ้น ทำให้ ‘Health Care’ กลายเป็นธุรกิจยอดฮิตตั้งแต่ปลายปี 2560 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการเริ่มฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และนโยบายการส่งเสริมธุรกิจบริการด้านสุขภาพของรัฐบาล ที่เอื้อประโยชน์ต่อการลงทุนของผู้ประกอบการ SME รวมถึงสร้างโอกาสในการต่อยอดธุรกิจให้ครบห่วงโซ่อุปทาน (SupplyChain) โดยการมองหาพันธมิตรทางธุรกิจ และรวมกลุ่มกันเป็น Cluster เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ และทำให้ธุรกิจสามารถแข่งขันได้

ทั้งนี้ ธุรกิจบริการด้านสุขภาพที่ดำเนินกิจการอยู่ในประเทศไทยมีจำนวน 4,086 ราย แบ่งเป็น บริษัทจำกัด 3,381 ราย คิดเป็นร้อยละ 83 ห้างหุ้นส่วนจำกัด/ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล 670 ราย คิดเป็นร้อยละ 16 บริษัทมหาชนจำกัด 35 ราย คิดเป็นร้อยละ 1

สำหรับมูลค่าทุนจดทะเบียนนิติบุคคลของธุรกิจบริการด้านสุขภาพในประเทศไทยที่คงอยู่ปัจจุบัน รวมทั้งสิ้น 117,908 ล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2560)โดยมีสัดส่วนการลงทุนดังนี้ มูลค่าการลงทุนของคนไทยอยู่ที่ 116,771 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 99 และมูลค่าการลงทุนของต่างชาติอยู่ที่ 1,137 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 1 สำหรับนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนสูงสุด 3 อันดับแรก คือ ญี่ปุ่น มูลค่า 104 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.09 รองลงมา คือ ฮ่องกง มูลค่า 93 ล้านบาท คิดเป็น 0.08 และสิงคโปร์ มูลค่า 85 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.07 ซึ่งพื้นที่ที่ได้รับความนิยมจากนักลงทุนทั้งชาวไทยและต่างชาติ คือ กรุงเทพมหานคร มูลค่าการลงทุน 60,936 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 52 รองลงมา คือ จังหวัดที่เป็นเมืองเศรษฐกิจที่สำคัญ

นอกจากนี้ หากพิจารณาถึงผลประกอบการและอัตราส่วนทางการเงิน พบว่าธุรกิจบริการด้านสุขภาพมีผลประกอบการดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2559 มีอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากเดิมร้อยละ 10.87 เป็นร้อยละ 11.93 ในขณะที่อัตราส่วนผลตอบแทนจากสินทรัพย์ มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการบริหารสินทรัพย์และการบริหารสภาพคล่อง

จากการเติบโตดังกล่าวทำให้มีผู้ประกอบการหน้าใหม่ๆ พาเหรดเข้าสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก รวมทั้งทายาทตระกูลดังในบ้านเราที่ให้ความสนใจด้วยเช่นกัน


“มหากิจศิริ”ลุยเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ
ตั้งเป้า 5 ปีโกยหมื่นล้าน

ล่าสุด ตระกูลดังอย่าง มหากิจศิริ เจ้าของแบรนด์เนสกาแฟ กระโดดเข้าสู่ตลาดด้วยการเลือกเปิดตัวเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ภายใต้แบรนด์ P80 น้ำลำไยสกัดเข้มข้น ภายใต้บริษัท เนเชอรัล เบฟ จำกัด ในเครือ พีเอ็ม กรุ๊ป ด้วยการทุ่มงบทั้งหมดกว่า 2,000 ล้านบาทเพื่อลุยเครื่องดื่มชนิดนี้โดยเฉพาะ พร้อมตั้งเป้าหมายยอดขายสุดท้าทายปีแรกที่ 2,000 ล้านบาท และเพิ่มเป็น 10,000 ล้านบาทใน 5 ปี

นายประยุทธ มหากิจศิริ ประธานกรรมการ บริษัท พีเอ็ม กรุ๊ป จำกัด ในฐานะผู้บุกเบิก เนสกาแฟ บอกว่า จากวิกฤตช่วงที่ผลผลิตลำไยล้นตลาด ทำให้ต้องการช่วยเกษตรกรโดยการนำผลลำไยมาทำเป็นผลิตภัณฑ์ด้วยนวัตกรรมใหม่เพื่อทำให้คนไทยมีสุขภาพดี โดยได้มีโอกาสเข้าไปศึกษาสรรพคุณของลำไยกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ทำให้ค้นพบว่า ตำรับยาจีนโบราณ ถือว่า ลำไย เป็นสมุนไพรรักษาโรคที่ดีต่อร่างกายช่วยฟื้นฟูร่างกายจากภายในสู่ภายนอก ช่วยให้คุณภาพการนอนดีขึ้น หลับได้ลึกขึ้น ควบคุมความดันโลหิต ฯลฯ

ด้วยเหตุผลนี้จึงได้ร่วมวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ “P80” (พีแปดสิบ) เครื่องดื่มสกัดเข้มข้นจากลำไยจากธรรมชาติ 100% มีคุณค่าทางโภชนาการสูงสุด ซึ่งดีต่อสุขภาพ และทำสัญญาข้อตกลงพิเศษกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในลิขสิทธิ์ทางเทคโนโลยีสำหรับการผลิตที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะ “P80” (พีแปดสิบ) เพื่อจำหน่ายทั่วโลก และมีความตั้งใจทำผลิตภัณฑ์เพื่อสังคม ด้วยแนวคิด มีเงินเท่าไหร่ ก็ซื้อสุขภาพที่ดีไม่ได้

ดังที่เห็นสถิติจากกระทรวงสาธารณสุขที่คนไทยใช้เงินจ่ายเรื่องสุขภาพปีละเกือบ 400,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นการดูแลสุขภาพบนพื้นฐานของการพึ่งตนเองเป็นหลัก จึงเป็นวิธีที่ง่ายและประหยัด

ส่วนชื่อ P80 นั้นเรียกว่าเป็นรหัสลับมาจาก Perfect 80 นั่นคือจะมีสุขภาพแข็งแรง มีความสมบูรณ์ ดูอ่อนกว่าวัยแม้อายุ 80 จึงอยากแบ่งปันให้คนไทยมีสุขภาพดี ในราคาไม่แพง ทานได้ทั้งครอบครัว

ด้าน นายเฉลิมชัย มหากิจศิริ ประธานกรรมการและผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท เนเชอรัล เบฟ จำกัด เปิดเผยว่า จากการประสบความสำเร็จในธุรกิจเนสกาแฟ และธุรกิจอื่นๆ ตนเองและคุณพ่อต้องการทำธุรกิจเพื่อสังคม มีเป้าหมายเพื่อให้คนไทยมีสุขภาพดี โดยลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท สร้างโรงงานผลิตที่ทันสมัย บนพื้นที่กว่า 140 ไร่ ต.นครเจดีย์ อ.ป่าซาง จ.ลำพูน เขตติดต่อกับ อ.ดอยหล่อ จ.เชียงใหม่ ทำให้สามารถรับซื้อผลลำไยสดคุณภาพดีจากเกษตรกรโดยตรงทั้งจาก จ.ลำพูน และ จ.เชียงใหม่ ในราคาสูงกว่าท้องตลาด เพื่อนำมาผลิตเครื่องดื่ม P80 Natural Essence (พีแปดสิบ เนเชอรัล เอสเซ้นส์) เครื่องดื่มสกัดเข้มข้นจากลำไยจากธรรมชาติ 100% คัดจากผลลำไยสดคุณภาพดีไม่น้อยกว่า 200 ตันต่อวัน และคาดว่าจะรับซื้อผลลำไยสดได้มากกว่า 10,000 ตันในช่วงฤดูกาลนี้

นอกจากนี้ ยังสามารถรับซื้อผลลำไยสดคุณภาพดีในช่วงนอกฤดูกาลได้ตลอดทั้งปี โดยมีเป้าหมายในการรับซื้อปริมาณ 7,000-10,000 ตันต่อปี คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 100 ล้านบาท นอกจากนี้ยังได้ทุ่มงบวิจัยพัฒนา จำนวน 1,500 ล้านบาท

ส่วนกลยุทธ์ทางการตลาดเน้นสร้างแบรนด์ “P80” (พีแปดสิบ) ให้เป็นที่จดจำในเวลารวดเร็ว ด้วยการตลาด แบบ 360 องศาเพื่อกระตุ้นยอดขายโดยใช้งบกว่า 20% ของงบลงทุนเพื่อเข้าถึงผู้บริโภค ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โฆษณาประชาสัมพันธ์ทั้งสื่อทีวี ออนไลน์ รวมถึงกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆ และการใช้พรีเซ็นเตอร์ แบร์รี่-ณเดชน์ คูกิมิยะ เป็นตัวแทนของคนรักสุขภาพและเพื่อกระตุ้นยอดขาย

อย่างไรก็ตามตลาดเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพมีมูลค่า 17,710 ล้านบาท โดยบริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายปีแรกกว่า 2,000 ล้านบาท แบ่งเป็นในประเทศ 50% และต่างประเทศ 50%.

ส่วนแผนธุรกิจในอนาคตจะสร้าง “P80” (พีแปดสิบ) ให้เป็น Global Brand โดยวางแผนเปิดตลาดทั่วโลก.

เฉลิมชัย เปรียบเปรยการทำงานของตนกับผู้เป็นบิดาว่า แตกต่างในความเหมือน กล่าวคือ ผู้เป็นพ่อ นำแบรนด์จากต่างประเทสเข้ามาทำตลาดในไทยด้วยการบุกเบิกสินค้าที่ปลุกคนให้ตื่น นั่นคือ เนสกาแฟ

แต่ในรุ่นของเขา เขาต้องการส่งเสริมและสนับสนุนสินค้าแบรนด์ไทยออกไปต่างประเทศ จึงเป็นที่มาของ P80 สินค้าที่ช่วยให้นอนหลับ

อย่างไรก็ตาม เฉลิมชัยย้ำว่า ในความเหมือนมีวคามแตกต่างนั้นเป็นสิ่งที่ดี เพราะหากดำเนินตามรอยธุรกิจของผู้เป็นพ่อก็จะไม่เกิดธุรกิจใหม่ๆ ซึ่งเขาต้องการส่งต่อไปยังรุ่นลูกๆ หลานๆ สืบต่อไป


สะใภ้เจียเม้ง เข้าซื้อกิจการร้าน “ใบเมี่ยง”
วางเป้า 3 ปี เปิด 15 แห่งทั่วเมืองกรุง

อีกหนึ่งตระกูลดังอย่าง “มานะธัญญา” เจ้าของแบรนด์ข้าวหงษ์ทอง ที่ดำเนินธุรกิจมาตั้งแต่ปี 2480 จนปัจจุบัน จากรุ่นสู่รุ่น ก็ให้ความสนใจธุรกิจเพื่อสุขภาพเช่นกัน โดยล่าสุด สะใภ้คนโตอย่างนางแคทลียา มานะธัญญา ผู้จัดการฝ่ายธุรกิจค้าปลีก บริษัท เจียเม้งมาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผู้บริหารร้านค้าเพื่อสุขภาพ “ใบเมี่ยง” บอกถึงภาพรวมตลาดสินค้าเพื่อสุขภาพในประเทศไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วง 5 ปีหลังที่มีร้านสินค้าเพื่อสุขภาพเกิดขึ้นมากมาย ซึ่งบริษัทได้เล็งเห็นโอกาสในการเติบโตจึงได้พัฒนาสินค้าเพื่อรองรับความต้องการในตลาดดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้เข้าซื้อกิจการร้าน “ใบเมี่ยง” เมื่อเดือนธันวาคม ที่ผ่านมาทั้ง 4 แห่งได้แก่ The circle ราชพฤกษ์, Nawamin City Avanue, Homepro พระราม 2 และ The up พระราม 3 พร้อมกับปรับเปลี่ยนการบริหารงานและสินค้าให้เป็นระบบ เพื่อสร้างการเติบโตในระยะยาวมากขึ้น

หลังเข้าซื้อร้านใบเมี่ยง เจียเม้งได้ขยายสาขาเพิ่มอีก 2 แห่ง ที่ศูนย์การค้าพาราไดซ์พาร์ค และศูนย์การค้าเมกาบางนา ส่งผลให้มีสาขารวมทั้งสิ้น 6 แห่ง และวางเป้าหมายขยายสาขาให้ได้ 15 แห่งทั้งในกรุงเทพฯและปริมณฑลภายในระยะเวลา 3 ปีนับจากนี้

ขณะที่แผนการทำตลาดจะให้ความสำคัญกับการบริการจัดการสินค้าภายในร้านเพื่อตอบโจทย์ความต้องการ โดยการคัดสรรเฉพาะสินค้าที่มีความน่าเชื่อถือและตอบโจทย์สำหรับคนรักสุขภาพทุกกลุ่มเป้าหมายที่มีอายุตั้งแต่ 25-40 ปี ไม่ว่าจะเป็นสินค้าในหมวดของใช้ภายในบ้าน อาหาร ของใช้ส่วนบุคคล และสินค้าแม่และเด็ก

ด้านช่องทางการจัดจำหน่ายบริษัทได้ขยายเข้าไปยังช่องทางออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นทางแอพพลิเคชันไลน์ หรือ market place ต่างๆ รวมไปถึงช่องทางของ Official Shop @ shopee Mall พร้อมกับจัดโปรโมชันเพื่อกระตุ้นยอดขายในช่องทางดังกล่าว

นอกจาก 2 ตระกูลดังนี้แล้ว ยังมีทายาทจากอีกหลายๆ ตระกูลที่เห็นถึงความสำคัญเทรนด์สุขภาพ อย่างเช่น “สิงห์” ของตระกูล ภิรมย์ภักดี ที่วันนี้ผลัดใบก้าวสู่ยุคที่ 4 ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของธุรกิจตระกูล ซึ่งปรากฏภาพการ Diversify ไปสู่ธุรกิจอื่นๆ อย่างหลากหลาย

ผู้ที่มีบทบาทมากที่สุดในกลุ่มทายาทรุ่นเหลนของ “พระยาภิรมย์ภักดี” ตกเป็นของสองหนุ่มพี่น้อง “ภูริต” (ชื่อเดิม สันต์) และ “ปิติ” บุตรชายของ “สันติ” ที่เข้ามารับช่วงต่องานสำคัญ และกำลังเข้าสู่ช่วงการปรับเปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจ

ปิติ ภิรมย์ภักดี รับช่วงในการบริหารกลุ่มแอลกอฮอลล์ ภูริต ทายาทคนโตของตระกูล “ภิรมย์ภักดี” ถูกวางตัวให้ดูแลธุรกิจนอน-แอลกอฮอล์ แยกกันโต พร้อมกับตั้งหน่วยงาน Business Innovation Center หรือ BIC ซึ่งเป็นหน่วยงานทำหน้าที่สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกสู่ตลาด และเป็นจุดเริ่มของการเปิดตลาดเชิงรุกธุรกิจนอน-แอลกอฮอล์ของบุญรอด

ซึ่งปัจจุบันสินค้าในกลุ่มนอน-แอลกอฮอล์ของสิงห์จะมีโซดา น้ำดื่มสิงห์ เครื่องดื่มสุขภาพ บีอิ้ง น้ำแร่เพอร์ร่า สาหร่ายมาชิตะ และเครื่องดื่ม เกลือแร่ ซันโว ภายใต้สถานการณ์ที่ตลาดแอลกอฮอล์ในไทยมีการชะลอตัว เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ หนึ่งในกลุ่มธุรกิจนอน-แอลกอฮอล์ กลับเป็นเทรนด์ที่มาแรง ซึ่งค่ายสิงห์ให้ความสำคัญกับสินค้ากลุ่มนี้อย่างต่อเนื่องเช่นกัน

นั่นคือเทรนด์สุขภาพที่คนทั่วโลกต่างเล็งเห็น จึงไม่แปลกที่เหล่าไฮโซตระกูลดังเมืองไทยจะร่วมแจม

Related Articles

Back to top button
X
%d bloggers like this: