เทรดหุ้นแบบมนุษย์เงินเดือน
เทรดหุ้นแบบมนุษย์เงินเดือน
จักรินท์ เชื้องาม
วิทยากร ด้านการลงทุน
Super Trader Repulic
Co-Trading Space แห่งแรกของประเทศไทย
มีหลายครั้งที่ผมเจอคำถาม ถ้าเป็นพนักงานประจำ ไม่มีเวลาเฝ้าจอ เฝ้ากราฟแล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปเทรดแข่งกับคนอื่นเค้า สำหรับผมที่เป็นพนักงานประจำเหมือนกัน ทุกปัญหามีทางออกเสมอครับ จากข้อจำกัดด้านการทำงานทำให้ต้องวางแผน ทำการบ้านล่วงหน้า และมีเวลาดูหน้าจอเทรดได้แค่ไม่กี่ครั้ง(เปิดเช้า,ปิดเที่ยง-เปิดบ่าย,ปิดเย็น) ยุทธวิธีที่ผมใช้ในการเทรดก็คือ การเทรดแบบ Runtrend ครับ
การเทรดแบบ Runtrend ก็คือการเข้าซื้อ เมื่อเห็นว่าหุ้นเริ่มมี trend ขาขึ้น และ Let’s profits run คือปล่อยให้หุ้นทำกำไรไปให้สุด trend แต่ความยากของการเทรดแบบ Runtrend ก็คือ 1. หุ้นจะต้องเพิ่งเริ่มเป็น trend ขาขึ้น 2.ตลาดต้องเป็น trend ขาขึ้นด้วย และ 3.เทรดเดอร์เองจะต้องมี mindset ที่แข็งแกร่ง เมื่อเห็นหุ้นที่ตนถือมีการแกว่งขึ้นลงของราคา ขออธิบายขยายความดังต่อไปนี้
- หุ้นจะต้องเพิ่งเริ่มเป็น trend ขาขึ้น การเลือกหุ้นที่จะมาเทรดแบบ Daytrade นั้นว่ายากแล้ว การเลือกหุ้นที่จะมาเทรดแบบ Runtrend นั้นยากกว่า เพราะการที่เทรดเดอร์จะเลือกหุ้นที่สามารถซื้อแล้วถือเพื่อทำกำไรอย่างรวดเร็วและรุนแรงนั้น ผมใช้ทฤษฎีของ Richard Wyckoff ผู้คิดค้นทฤษฎีวัฎจักรของหุ้น(The Cycle of Stock) เปรียบเทียบกับทฤษฎี Elliot Wave คือ จะต้องรู้ก่อนว่าราคา ณ ขณะที่เข้าซื้อนั้น เราอยู่ ณ จุด ๆ ไหนของวัฎจักรหุ้น ซึ่งจะแบ่งระยะได้ดังนี้
- Accumulation phase คือ ระยะการสะสมหุ้น ช่วงนี้จะมีรายใหญ่ หรือ Smart Money ,Big Hand ,Market Maker,Insider แล้วแต่หนังสือแต่ละสำนักจะเรียก จะเริ่มทยอยสะสมหุ้นเข้าพอร์ต ราคาจะขยับไม่มากแต่ volume float จะลดลงเรื่อย ๆ ( ถ้าเทียบกับ Elliot wave ก็จะเป็น wave1)
- Mark up คือ ระยะขึ้น เมื่อรายใหญ่ดูด volume float มากพอแล้วก็จะทำการทดสอบแรงขาย และเริ่มไล่ราคา (ถ้าเทียบกับ Elliot wave ก็จะเป็น wave 2 กับ wave 3) ให้พวกเราชาวเทรดเดอร์เข้าซื้อ ณ จุดจุดนี้ ราคาจะขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรงมาก เนื่องจาก Wave3 เป็นwave ที่มีมวลชนเข้าร่วมมากที่สุด
- Distribution phase คือ ระยะกระจายหุ้น เมื่อราคาเริ่มเข้าสู่จุดที่สูงที่สุดแล้ว volume ในตลาดเริ่มมากขึ้น แรงขายเริ่มมีเยอะกว่าแรงซื้อ รายใหญ่เริ่มปล่อยหุ้นออกจากพอร์ต ทำให้ราคาไม่สามารถทำจุดสูงสุดใหม่ได้(ถ้าเทียบกับ Elliot Wave ก็จะเป็น Wave 4 กับ 5)
- Mark down คือ ระยะลง เมื่อรายใหญ่ไม่ พยุง ราคาทำให้ราคาหุ้นจึงตกลงมาเรื่อย ๆ รายย่อยที่เข้าซื้อด้วยความโลภและความหวังก็จะทำให้เกิด Wave A,B.C
- ตลาดต้องเป็น trend ขาขึ้น เพราะถ้าsentiment ของตลาดเป็นไปเชิงลบ การขึ้นของหุ้นก็ลำบากอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่แน่เสมอไปถ้าหุ้นที่คุณเลือกมาเทรด เป็นหุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งมาก ปัจจัยลบไม่สามารถทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนลดลงได้ เราเรียกหุ้นพวกนี้ว่า “หุ้นแข็งกว่าตลาด”
- เทรดเดอร์เองจะต้องมี mindset ที่แข็งแกร่ง เมื่อเห็นหุ้นที่ตนถือมีการแกว่งขึ้นลงของราคา คุณจะต้องมองภาพกว้าง ๆ เป็นหลักในการตัดสินใจบางครั้งที่คุณขายหุ้นไปใน TF เล็ก ๆ ทั้ง ๆ ที่ TF ใหญ่มิได้เสียทรงแต่อย่างใด แล้วราคาก็ขึ้นต่อหรือที่ภาษาเทรดเดอร์เรียกว่า “ขายหมู” นั่นเอง
แล้วเราจะทำอย่างไรให้ Let’s profit run ให้สุด trend?
สำหรับผมแล้ว การ Run ให้สุด trend นั้นผมใช้ Candle Stick + Price pattern + Volume ในการดูกราฟประกอบการตัดสินใจ และใช้การสังเกตช่วง Distribution ซึ่งช่วงปลาย ๆ เทรน volume จะ peak มากการขยับของราคาแต่ละช่องจะยากมาก ๆ ถ้าสังเกต Bid-Offer คือ ฝั่ง Bid จะหนา Offer จะบาง แต่ซื้อเท่าไรก็ไม่หมด มีการเติม Offer ตลอด แต่ถ้าไม่มีเวลาดูให้ดูกราฟทำการบ้านก่อนตัดสินใจ ถ้าเริ่มมีแท่งแดงยาว ๆ ให้ระวังตัวเพราะแมลงสาปไม่ได้มาตัวเดียว
และท้ายที่สุดนี้ให้พยายามรักษาสมดุลของการเทรด “ไม่โลภจนเกินไปและไม่กลัวจนเกินไป” สิ่งไหนที่ทำแล้วกำไรให้ทำซ้ำ ๆ บ่อย ๆ สิ่งไหนที่ทำแล้วขาดทุนก็ปรับปรุงแก้ไข “เสริมจุดเด่น ลบจุดด้อย” การเทรดของคุณจะดีขึ้น ๆอย่างเห็นได้ชัดครับ ขอให้โชคดีมีกำไรทุกคน
จักรินท์ เชื้องาม