IT & Digital

เทคโนโลยีอัจฉริยะ กับการดูแลสุขภาพผู้สูงวัยในเอเชียตะวันออก

เทคโนโลยีอัจฉริยะ กับการดูแลสุขภาพผู้สูงวัยที่ยั่งยืนในเอเชียตะวันออก

โดย ทอมมี่ เหลียง ประธานบริษัท ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ประจำภาคพื้นเอเชียตะวันออกและญี่ปุ่น

ในเอเชีย เราสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณ ภาพมากขึ้น และมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่ก็ส่งผลให้เกิดความต้องการจา กผู้ให้บริการเฮลธ์แคร์ในภูมิภา คพุ่งสูง ในแง่ของบริการด้านการดูแลรักษา ทางแพทย์คุณภาพสูงอย่างสม่ำเสมอ และต่อเนื่อง จากรายงานของธนาคารโลกเผยว่า ประชากรในภูมิภาคเอเชียตะวันออก มีผู้มีอายุสูงวัยเร็วกว่าภูมิภ าคใดในประวัติศาสตร์ โดยมีผู้ที่อายุเกิน 65 ปี คิดเป็น 36 เปอร์เซ็นต์ของประชากรโลก (211 ล้านคน) โดยประเทศสิงคโปร์ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ถูกพิจารณาว่ามี “ผู้สูงอายุที่ชรามาก” ขณะที่ประเทศอื่นๆ ที่มีประชากรสูงอายุเติบโตเร็วม าก ยังได้แก่ ประเทศจีน อินโดนีเซีย ไทย และเวียตนาม โดยต่อไปในอนาคตก็จะมีเรื่องของ โรคเรื้อรังที่ทำให้เกิดความต้อ งการหน่วยงานที่ดูแลสุขภาพมากยิ่ งขึ้น ซึ่งปกติก็จะถูกจำกัดด้วยงบประม าณและการขาดแคลนทรัพยากรอยู่แล้ ว

เพื่อตอบสนองความต้องการของประช ากรที่สูงวัยมากขึ้น จำเป็นต้องมีการมุ่งเน้นหาทางเพื่ อให้เกิดประสิทธิภาพในการดำเนิ นงานที่ดีขึ้น ขณะเดียวกันต้องปรับปรุงเรื่องข องความปลอดภัยและความพึงพอใจของ ผู้ป่วยควบคู่กันไป ด้วยการผสานรวมเทคโนโลยีที่เป็น นวัตกรรมเข้ากับระบบโครงสร้างพื้ นฐานทางการแพทย์ ทั้งนี้ระเบียบวาระการประชุมเรื่อง “ยุทธศาสตร์ระดับโลกเกี่ยวกับทรั พยากรมนุษย์เพื่อการดูแลสุขภาพ : คนทำงานในปี 2030” (Global Strategy on Human Resources for Health: Workforce 2030) ขององค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ให้การสนับสนุนนวัตกรรมด้านเ ทคโนโลยี เพื่อเป็นแนวทางในการปรับปรุงแล ะเสริมสร้างระบบสุขภาพแห่งชาติใ นยุค “บิ๊กดาต้า” ในขณะเดียวกันโรงพยาบาลในปัจจุบั น ใช้ไฟฟ้าเฉลี่ยมากกว่าอาคารสำนั กงานขนาดใหญ่ทั่วไปถึง 3 เท่า จึงนับเป็นการเพิ่มภาระด้านค่าใ ช้จ่ายในการดำเนินงานและค่าใช้ จ่ายด้านพลังงานที่สูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าการออกแบบสิ่งก่อสร้างแห่ งใหม่ หรือ การขยายโรงพยาบาลก็ตาม สิ่งอำนวยความสะดวกในสถานดูแลสุ ขภาพและโรงพยาบาล ต่างต้องเผชิญกับภาวะแรงกดดันที่ต้องดำเนินการให้เกิดประสิทธิภา พมากขึ้น ด้วยทรัพยากรที่น้อยลง นอกจากนี้สิ่งสำคัญคือการพิจารณ าการลงทุนในเทคโนโลยีโซลูชันด้า นเฮลธ์แคร์อย่างรอบคอบ เพื่อมอบคุณภาพการดูแล ความปลอดภัยของคนไข้ การรักษาความปลอดภัยในโรงพยาบาล ตลอดจนผลลัพธ์จากการทำงานของพนั กงานในโรงพยาบาลได้ดียิ่งขึ้น

Doctors examining x-rays in video conference

สร้างอนาคต กับโรงพยาบาลที่พร้อม

โรงพยาบาลที่ได้รับการออกแบบมาอ ย่างดีที่สุด จะต้องรองรับการนำอุปกรณ์ทันสมั ยที่ซับซ้อนมาใช้งาน เพื่อตอบสนองต่อเหตุการณ์ฉุกเฉิ นได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงระบบบิวด์-อิน เพื่อป้องกันข้อผิดพลาดที่เกิดจ ากมนุษย์ และความล้มเหลวทางเทคนิค อีกทั้งต้องจัดให้มีพื้นที่ที่ป ลอดภัยสำหรับผู้ป่วยในการรักษาพ ร้อมด้วยบุคลากรทางการแพทย์ในกา รทำงาน ซึ่งคำตอบก็คือระบบโครงสร้างดิจิ ทัลของเฮลธ์แคร์ ที่เรียกว่า EcoStruxure™ for Healthcare (อีโคสตรัคเจอร์สำหรับเฮลธ์แคร์ ) ซึ่งใช้เทคโนโลยีล่าสุด ได้แก่ 1) การเชื่อมต่อและความฉลาดแบบฝังตั ว 2) การควบคุมแบบอัจฉริยะ การบริหารจัดการ และระบบอัตโนมัติ รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุ ด 3) การบริการดิจิทัลบนคลาวด์ ทั้งนี้ EcoStruxure for Healthcare จะทำหน้าที่เปรียบเสมือนเป็นระบ บประสาทส่วนกลางของโรงพยาบาล โดยทำหน้าที่เชื่อมโยงช่องว่างร ะหว่างระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) และเทคโนโลยีส่วนปฏิบัติการ (OT) ใน 3 ระดับ ได้แก่ การเชื่อมต่อผลิตภัณฑ์ ซอฟต์แวร์ควบคุมและการมอนิเตอร์ รวมไปถึงแอปพลิเคชั่นและการวิเค ราะห์ ทั้งนี้เพื่อสร้างประสิทธิภาพได้ ตลอดทั่วทั้งองค์กร เป็นการสร้าง “ความพร้อมสำหรับอนาคต” ให้โรงพยาบาล

การรวมโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะ และการเพิ่มศักยภาพด้านการสื่อส ารระหว่างระบบงานดั้งเดิมที่แตก ต่างกัน นำไปสู่การใช้ประโยชน์ได้เต็มปร ะสิทธิภาพยิ่งขึ้น พร้อมให้ผลตอบแทนจากการลงทุน จากการเชื่อมต่ออุปกรณ์ของโครงส ร้างพื้นฐาน หรือ อินทอร์เน็ต ออฟ ธิงส์ (IoT) เช่น เซ็นเซอร์อุณหภูมิ มิเตอร์ไฟฟ้า อุปกรณ์ควบคุมอาคารในระบบอัตโนมั ติ อุปกรณ์ระบบระบุพื้นที่แบบเรียล ไทม์และอื่น ๆ โดยอุปกรณ์ที่ให้ความสามารถด้าน IoT เหล่านี้ ให้ประโยชน์หลายอย่าง เช่น ระบบควบคุมและสมองกลแบบฝังตัว ให้ความสามารถในการมอนิเตอร์และ ควบคุมการทำงานผ่านคลาวด์ ตลอดจนการวิเคราะห์ขั้นสูง ด้วยการใช้ซอฟต์แวร์ โดยข้อมูลที่รวบรวมผ่านอุปกรณ์ เชื่อมต่อเหล่านี้ จะถูกนำมาใช้เพื่อช่วยให้ตัดสิน ใจได้ดีขึ้น พร้อมปรับปรุงกระบวนการดำเนินงา นให้ดียิ่งขึ้น

ตัวอย่างเช่น โซลูชันที่ช่วยสร้างสภาพแวดล้อม ทางคลินิกให้เกิดประสิทธิภาพสูง สุด สามารถแชร์สถานะการใช้ห้องผู้ป่ วยและห้องผ่าตัด ด้วย ระบบบริหารจัดการอาคาร (Building Management System หรือ BMS) ซึ่งจะตั้งค่าห้องเพื่อให้สามาร ถกำหนดค่าการทำงานล่วงหน้าสำหรั บระบบปรับสภาวะอากาศที่เหมาะสม (HVAC) รวมไปถึงแสงสว่างระหว่างที่ห้อง ว่าง เพื่อการประหยัดพลังงานในช่วงที่ห้องไม่มีการใช้งาน ทั้งนี้ ระบบบริหารจัดการอาคารจะจัดการร ะบบต่างๆ ให้กลับสู่การทำงานตามปกติ เมื่อได้รับการแจ้งเตือนว่าผู้ป่ วยจะกลับมา หรือในเวลาที่ห้องถูกกำหนดให้รั กษาสภาพแวดล้อมในระดับที่เหมาะส มสำหรับการรักษาและดูแลให้ผู้ป่ วยได้รับความพึงพอใจ

ในประเทศสิงคโปร์ มีตัวอย่างที่น่าสนใจถึงวิธีการ ทำให้ระบบโครงสร้างพื้นฐานเทคโน โลยีอัจฉริยะสามารถให้บริการด้า นสุขภาพเติบโตและสนองความต้องกา รของผู้ป่วย เห็นได้จากการนำโซลูชั่นการจัดก ารโครงสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ (Data Center Infrastructure Management หรือ DCIM) ของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค มาใช้ในระบบนวัตกรรมดูแลสุขภาพแ บบบูรณาการ (Integrated Healthcare Innovation Systems หรือ IHIS) ซึ่งโซลูชันดังกล่าวถือเป็นส่วน หนึ่งของระบบนวัตกรรมดูแลสุขภาพ แบบบูรณาการ เป็นไพร์เวทคลาวด์ด้านสุขภาพ หรือ H-Cloud ถูกพัฒนาเพื่อแทนที่ไซโลไอทีรุ่ นเก่าและเป็นแพลตฟอร์มที่ยืดหยุ่นรองรับการเกิดภัยพิบัติ สำหรับเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ ทั้ง 6 ระบบสุขภาพในภูมิภาคของประเทศสิ งค์โปร์ ทั้งนี้การประเมินที่จัดทำขึ้นอ ย่างอิสระโดย PwC ชี้ให้เห็นว่าระบบคลาวด์ด้านสุข ภาพ จะช่วยประหยัดเงินได้หลายล้านเห รียญสหรัฐในช่วงสิบปีข้างหน้า กลุ่มโรงพยาบาลแต่ละแห่งจะลดค่า ใช้จ่ายลงได้เกือบ 55 เปอร์เซ็นต์ เทียบกับค่าใช้จ่ายตามปกติทั่วไปภายในปี 2568

Look at how much we improved this year

ปรับปรุงการดูแลผู้สูงอายุและให้ประสบการณ์ที่ดีขึ้น

โรงพยาบาลกับการเดิมพันที่สูง 1) การเข้าถึงไฟฟ้า หรือ ไฟฟ้าดับ หมายถึงความแตกต่างระหว่าง ความเป็น และความตาย และมีต้นทุนเฉลี่ยมากว่า 1 ล้านเหรียญ สำหรับโรงพยาบาล 200 เตียง 2) อุบัติการณ์ที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ป่วย และการติดเชื้อในโรงพยาบาล ยังคงคร่าชีวิตอย่างต่อเนื่อง โดยเชื่อว่ามีผู้ป่วยติดที่เชื้อในโรงพยาบาลในกลุ่มประเทศเอเชี ยตะวันออกเฉียงใต้ ประมาณ 7 – 46 เปอร์เซ็นต์

ข่าวดีก็คือถ้ามีการป้องกันที่เ หมาะสม จะสามารถลดอุบัติการณ์ที่ก่อให้ เกิดอันตรายต่อผู้ป่วยและการติด เชื้อในโรงพยาบาล ตลอดจนความผิดพลาดทางการแพทย์แล ะพลัดตกหกล้มของผู้ป่วยได้

การทดสอบระบบจ่ายไฟฟ้าและระบบจ่ ายไฟฉุกเฉินแบบอัตโนมัติ ช่วยลดผลกระทบจากความผิดพลาดของ มนุษย์ โรงพยาบาลสามารถเพิ่มความปลอดภั ยให้ผู้ป่วยและลดความเสี่ยงทางก ารเงินจากความผิดพลาด และการฟ้องร้องจากการเสียชีวิต นอกจากนี้ระบบอัตโนมัติยังช่วยใ ห้แน่ใจว่าถึงการดำเนินการที่สอ ดคล้องตามกฎระเบียบ รวมถึงการออกรายงานเกี่ยวกับการ ปฏิบัติตามข้อบังคับและกฎระเบีย บ

เพื่อลดความจำเป็นในการดูแลบุคลากร และค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการดำเนินงาน โรงพยาบาลสามารถใส่ความเป็นอัจฉริยะเข้าไปในระบบระบายอากาศ เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของคนไข้ รวมถึงเรื่องการซ่อมบำรุงที่เหมาะสม ระบบอัจฉริยะดังกล่าวจะสามารถมอนิเตอร์ และดูแลได้โดยอัตโนมัติ ทั้งเรื่องความชื้น การระบายอากาศ ความดันอากาศ รวมไปถึงการกรองอากาศแบบ HEPA (High-efficiency particulate absorption) ในแบบเรียลไทม์ พร้อมมั่นใจถึงการควบคุมระบบเหล่ านี้ได้ตามข้อกำหนดด้านการออกแบ บ

สำหรับผู้ให้บริการเฮลธ์แคร์แล้ว การมอบประสบการณ์การมีส่วนร่วมของคนไข้ ในเชิงบวก และการให้บริการคุณภาพสูงนับเป็ นสิ่งที่มีคุณค่า ตัวอย่างเช่น รายได้ประจำปีของโรงพยาบาล 120 ล้านเหรียญ ช่วยเพิ่มความพึงพอใจของผู้ป่วย และทำให้เห็นถึงรายได้ประจำปีที่เพิ่มขึ้นมา จากประมาณ 2.2 ล้านเหรียญ เป็น 5.4 ล้านเหรียญ

ความปลอดภัยของผู้ป่วย เริ่มที่รากฐานเป็นอย่างแรก ทั้งรากฐานทางกายภาพของระบบอำนว ยความสะดวกในโรงพยาบาล เมื่อคนเราเริ่มชรา และประสบปัญหาโรคเรื้อรังมากมาย มายรุมเร้า จำเป็นต้องอาศัยกระบวนทัศน์ใหม่ ในการดูแลรักษาทั้งในโรงพยาบาล คลินิก รวมถึงที่บ้าน

ในงานปฏิบัติการส่วนหน้า ต้องทำให้สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ในเฮลธ์แคร์ ทำงานได้ดีขึ้นและฉลาดมากขึ้น มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นในขณะที่ใ ช้ทรัพยากรน้อยลง โครงการเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลั งงานสามารถปลดล็อคอุปสรรคในเรื่ องของเงินทุน โดยช่วยให้โรงพยาบาลมีกำไรมากขึ้น หรือเพื่อนำไปใช้สนับสนุนความก้ าวหน้าทางเทคโนโลยี อุปกรณ์ทางการแพทย์ หรือ เพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้ผู้ป่วย ให้ครบทุกองค์ประกอบที่สำคัญ ซึ่งจะส่งผลอย่างมากในการลดต้นทุ น และช่วยปรับปรุงในเรื่องของการยึ ดถือคนไข้เป็นศูนย์กลาง (patient-centric) ได้อย่างจริงจัง โดย 54 เปอร์เซ็นต์ของผู้บริหารด้านเฮล ธ์แคร์ได้จัดอันดับในเรื่องประส บการณ์และความพึงพอใจของผู้ป่วย เป็นเรื่องสำคัญสามอันดับแรก เช่นเดียวกับความพร้อมของโซลูชั่นอัตโนมัติ ที่ให้ศักยภาพด้านระบบโครงสร้าง พื้นฐานด้านเฮลธ์แคร์อัจฉริยะ ซึ่งโรงพยาบาลที่พร้อมสำหรับอนา คต อาจกลายเป็นความจริงที่แพร่หลาย ภายในไม่ช้า แทนที่จะเป็นแค่แนวคิดเชิงทดลอง

การนำระบบโครงสร้างพื้นฐานและแอปพลิเคชั่นอันชาญฉลาดมาใช้ จะช่วยให้ประเทศในแถบเอเชียตะวันออกมีรากฐานที่มั่นคงในการปฏิรูปอนาคตด้านสุขภาพและการดูแลทางสังคมให้กับผู้สูงอายุ

Related Articles

Back to top button
X
%d bloggers like this: