ความท้าทาย เจน 4 สิงห์ “ภูริต ภิรมย์ภักดี”
หนึ่งในองค์กรที่เก่าแก่ของเมืองไทยเชื่อแน่ว่าต้องมีชื่อ “สิงห์ คอร์ปอเรชั่น” ถูกบันทึกไว้อย่างแน่นอน ด้วยอายุอานามกว่า 85 ปีที่อยู่คู่สังคมไทยจากรุ่นสู่รุ่นที่สืบทอดกิจการกันเรื่อยมาจนเข้าสู่ยุคเจเนอเรชั่นที่ 4 ของตระกูลภิรมย์ภักดี
ด้วยความที่เป็นองค์กรเก่าแก่บวกกับกระแสเทคโนโลยีที่เข้ามา Disruption ทุกสิ่งทุกอย่างชนิดเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างสุดขั้ว ทำให้สิงห์ คอร์ปอเรชั่นจำต้องปรับกระบวนทัพรองรับความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว
ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาสิงห์ คอร์เปอเรชั่นมีการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ จากเดิมรวมศูนย์ภายใต้ “บุญรอดบริวเวอรี่” แยกออกเป็น 3 กลุ่มธุรกิจหลัก นั่นคือ ธุรกิจแอลกอฮอล์ ดูแลโดย “ต๊อด ปิติ ภิรมย์ภักดี” ส่วน ภูริต ภิรมย์ภักดี ดูแลธุรกิจนอน-แอลกอฮอล์ ขณะที่กลุ่มงานขายอยุ่ในความดูแลของ “พลิศร์ ภิรมย์ภักดี” ด้วยการปรับให้ ภูริต ดูแลด้านเทรดดิ้ง ด้วยการรั้งตำแหน่ง CEO ของบุญรอดเทรดดิ้งเมื่อปีที่แล้ว ส่วนต๊อด ปิติดูแลธุรกิจในส่วนของ Supply Chain และธุรกิจอาหาร ส่วน พลิศร์ ดูแลตลาดต่างประเทศในโซนเอเชีย และภูมิภาคอาเซียน ซึ่งจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการทำงานและเพิ่มประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
“ภูริต ภิมย์ภักดี” หรือคุณเต้ ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด บริษัทในเครือสิงห์ คอร์ปอเรชั่นที่ทำรายได้มากที่สุดของกลุ่มในเวลานี้ โดยในปีที่ผ่านมารายได้บุญรอดเทรดดิ้ง (กลุ่ม Alcohol Beverage, Non-alcohol Beverage, Food-Snack) มีรายได้ 120,000 ล้านบาท โดยรายได้หลักแน่นอนคือกลุ่มเบียร์ 80% ขณะที่อีก 20% เป็นกลุ่ม Non-alcohol และ Food-Snack
หนึ่งในทิศทางสำคัญของภูริตในปีนี้ คือการพัฒนาบุคลากรภายใต้ธุรกิจเทรดดิ้งที่มีราว 2,000 คน ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ฝึกคนให้ตั้งใจทำงานอย่างจริงจังจึงต้องพัฒนาทีมอยู่ตลอดภายใต้คอนเซ็ปท์วัน One Team One Vision รวมทั้งเสริมคนเก่งๆ เข้ามาร่วมทีม
ซึ่งแน่นอน ภูริต ให้ความมั่นใจว่าเขาไม่มีนโยบายเลย์ออฟพนักงานอย่างแน่นอน ตรงกันข้าม จากเทรนด์การ Disrupt ของเทคโนโลยี ยิ่งทำให้ต้องพัฒนาศักยภาพของคนให้มากขึ้นด้วย โดยในอนาคตพนักงานบางส่วนอาจไม่จำเป็นต้องทำงานในออฟฟิศก็เป็นได้ สามารถทำงานได้ทุกที่แล้ววัดกันที่ผลงานมากกว่า
ภูริต ย้ำว่า จากการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป หุ่นยนต์จะเข้ามาทดแทนคนในระดับหนึ่งซึ่งเป็นเทรนด์ของโลกไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้แต่อดเป็นห่วงในประเด็นการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำมากกว่าเพราะอาจทำให้เทคโนโลยีเข้ามาเร็วขึ้นทำให้เกิดปัญหาคนตกงานตามมา
นอกจากการเร่งพัฒนาคนให้รองรับการเปลี่ยนแปลงแล้ว ในสว่นของพอร์ตโฟลิโอก็ต้องมีการเติมสินค้าใหม่ๆ ซึ่งปีนี้สนใจตลาดเบียร์ซูเปอร์พรีเมียม หรือเบียร์ราคาแพงซึ่งมีกลุ่มคนดื่มโดยเฉพาะ Craft Beer หรือเบียร์ทางเลือกใหม่ๆ เบียร์นำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งแม้จะยังเป็นตลาดที่เล็กแต่มีศักยภาพ จะเห็นเป็นรูปเป็นร่างในปีนี้
ปัจจุบันยอดขายเบียร์ ในปี 2560 มีส่วนแบ่งการตลาดโดยรวม 62% ยอดขายเบียร์ 1,320 ล้านลิตร รั้งอันดับหนึ่งตลาดเบียร์ไทย เพิ่มขึ้นจากปี 2559 ซึ่งมีส่วนแบ่งอยู่ที่ 58.5%
ขณะที่ในปีนี้ตั้งเป้าส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มเป็น 65% หรือยอดผลิต 1,400 ล้านลิตร
อย่างไรก็ตาม ภูริต ยืดอกยอมรับอย่างแมนๆ ว่า ทุกสินค้าที่ทำต้องมีกำไร หากสินค้าไม่ตอบโจทย์ดังกล่าว ก็จะไม่เก็บไว้ ซึ่งที่ผ่านมามีทั้งสิ้น 5 แบรนด์ด้วยกันคือ ชาเขียวโมชิ ,บีอิ้ง คอลลาเจน ,ซันโว, ไซเดอร์ เบย์ และยูกิ ซึ่งเมื่อแพ้แล้วก็ต้องยอมรับ และนำบทเรียนที่ได้ไปปรับปรุงพัฒนาสินค้าตัวอื่นๆ ต่อไป
ถือเป็นการยุติการทำตลาดสินค้าที่ภูริตมองว่า ไม่ทำรายได้ ก็ต้องยอมรับ อีกทั้งถ้าตลาดไหนมีผู้นำที่แข็งแกร่งอยู่แล้วการแจ้งเกิดสินค้าใหม่ทำได้ยาก หันมาโฟกัสสินค้าตัวอื่นๆ ต่อไป
พิสูจน์ได้ว่า เมื่อขยับไปทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ค่อยถนัดด้วยการบุกธุรกิจนอนแอลกอฮอล์มากขึ้น หลังจากเดิมทำตลาดเบียร์มากว่า 80 ปี แต่การเป็น “น้องใหม่” เข้าไปเจาะยางตลาดอื่นๆที่มี “เจ้าตลาด” อยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องง่าย
อย่างไรก็ตาม การทำธุรกิจต้องไม่มีการหยุดนิ่ง เป้าหมายในปี 2561 บุญรอดเทรดดิ้ง ภูริตวางไว้ดังนี้
– สร้างยอดขายรวม 1.2 แสนล้านบาท เติบโตจากปี 2560 ที่มียอดขายประมาณ 1.18 แสนล้านบาท
– เพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดเบียร์เป็น 65% น้ำดื่มสิงห์เป็น 23%
สำหรับความท้าทายของทายาทเจน 4 ตระกูลภิรมย์ภักดี ต้องแข่งกับสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่ๆ ทุกวัน อย่ารอให้เกิดปัญหาต้องแก้ก่อนที่จะเกิด
ภูริตย้ำว่า คู่แข่งมีการพัฒนาขึ้นมาก เราต้องไม่ประมาท ต้องเตรียมความพร้อมอยู่ตลอดเวลา
ที่สำคัญ ภูริตทิ้งท้ายว่า ไม่กลัวปัญหา แต่กลัวการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมมากกว่า!!!!
ประวัติส่วนตัว
ภูริต ภิรมย์ภักดี หรือชื่อเดิม สันต์ ภิรมย์ภักดี (ชื่อเล่น เต้) เกิดเมื่อวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2520 เป็นนักธุรกิจ และนักร้องชาวไทย เป็นสมาชิกวงกรุงเทพมาราธอน สันต์ เป็นทายาทคนโตของตระกูลภิรมย์ภักดี ถือเป็นรุ่นที่ 4 ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด
ภูริตเป็นทายาทรุ่นที่ 4 ของตระกูลภิรมย์ภักดี ผู้ผลิตเบียร์รายแรกของประเทศไทย เป็นบุตรชายคนโตของ สันติ – อรุณี ภิรมย์ภักดี สมรสกับ ตอง – นิสามณี ภิรมย์ภักดี มีบุตร 2 คน ชื่อ ด.ญ. นิษา ภิรมย์ภักดี และ ด.ช. ณกฤศ (สิงห์) ภิรมย์ภักดี ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด
ภูริตจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนสาธิตประสานมิตรถึงมัธยมศึกษาปีที่ 2 จากนั้นบินไปสหรัฐอเมริกาเพื่อศึกษาต่อระดับไฮสคูลที่ Wilbraham Monson Academy ถึงเกรด 12 และจบปริญญาตรีด้าน Business Management จากมหาวิทยาลัย Bentley College เมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา
หลังจบการศึกษาด้วยวัย 21 ปี ภูริตเริ่มเข้ามาช่วยธุรกิจครอบครัวครั้งแรกในตำแหน่งพนักงานดูแลถังเบียร์ จากนั้นออกไปศึกษาการปรุงและการผลิตเบียร์ Master of Brewing ที่ Doemens Institute of Technology ซึ่งเป็นสถาบันสอนด้านการปรุงเบียร์ที่เก่าแก่ของเยอรมัน และมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับระดับโลก ถือเป็น Brewmaster คนที่ 3 ของตระกูลภิรมย์ภักดี ต่อจากคุณปู่ ประจวบ ภิรมย์ภักดี (Brewmaster ไทยคนแรก) และคุณปิยะ ภิรมย์ภักดี (ลุง) หลังสำเร็จการศึกษาภูริตเดินทางกลับประเทศไทยและเลือกฝึกงานกับบริษัทโฆษณายักษ์ใหญ่อย่าง บริษัท โอกิลวี่ แอนด์ เมเธอร์ (ประเทศไทย) เพื่อเรียนรู้งานด้านโฆษณาและการตลาด ก่อนจะเข้ามาทำงานด้านการตลาดที่บุญรอดฯ อีกสักระยะ แล้วจึงศึกษาต่อระดับปริญญาโททางธุรกิจ Master of Business Administration และ Marketing and Entrepreneurship Major ณ สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ปี 2547 ภูริตเข้าทำงานบริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด อย่างเต็มตัวในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจและฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์กลุ่มนอนแอลกอลฮอล์ การอยู่ในตำแหน่งการพัฒนาธุรกิจ กระทั่งปี 2553 ได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการบริหารบริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด และก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด ในปี 2559 จนถึงปัจจุบัน
นอกจากผลงานที่สร้างความสำเร็จให้กับสินค้าหลัก ได้แก่ เบียร์ โซดา น้ำดื่ม แล้ว ภูริตยังสร้างผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนอนแอลกอฮอล์ เช่น สาหร่ายมาชิตะ น้ำแร่เพอร์รา เครื่องดื่ม เกลือแร่ซันโว อีกทั้งยังเป็น Key man ในการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจที่หลากหลายให้กับบริษัทฯ อาทิ บริษัท มารุเซ็น ที จำกัด (ประเทศญี่ปุ่น) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายชาเขียวญี่ปุ่น (Japanese Green Tea) ของประเทศญีปุ่นและส่งออกไปในหลายประเทศทั่วโลก, บริษัท ซังโกะ เซกะ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายขนมอบกรอบและ บริษัท เค เจ ซี อินเตอร์ฟู้ด จำกัด ผู้ผลิตสาหร่ายจากประเทศเกาหลี
ภูริตยังมีอีกหนึ่งบทบาทในวงการบันเทิงกับการเป็นสมาชิกวงดนตรี กรุงเทพมาราธอน (Krungthep Marathon) ตำแหน่ง นักร้องนำ พร้อมสมาชิกวงอีก 3 คน ได้แก่ ปาย – กอบชัย ข่วงอารินทร์ (กีตาร์) , นะ – ธนวิตร พงษ์เจริญ (เบส) และ อู๋ – ยศทร บุญญธนาภิวัฒน์ (กลอง) มีผลงานออกมาแล้วสองอัลบั้ม คืออัลบั้ม The Winner และอัลบั้ม 7912 ภายใต้สังกัด สไปร์ซซี่ ดิสก์ (SPICY DISC) และยังมีผลงานร้องเดี่ยวที่เป็นที่รู้จักมากมาย ไม่ว่าจะเป็น “เมื่อไหร่จะได้พบเธอ” เพลงประกอบละคร พรพรหมอลเวง, “หากความรักฟังอยู่” เพลงประกอบละคร บันไดดอกรัก และ “น้ำตา” เพลงที่ภูริต แต่งเนื้อร้องและขับร้องด้วยตัวเอง เพื่อถ่ายทอดจากความรู้สึก ต่อการจากไปของเพื่อนรุ่นน้อง ประชาธิป มุสิกพงศ์ (สิงห์) มือกีตาร์วง Sqweez Animal นอกจากนี้ยังมีเพลง“ปลายรุ้ง” เพลงประกอบละคร ตามรักคืนใจ ที่ได้ร้องร่วมกับน้องนิษา ลูกสาวของภูริตอีกด้วย
นอกจากนี้ภูริตยังเป็นนักแข่งรถ เคยลงแข่งขันและคว้าชัยมาแล้วหลายสนามทั้งในประเทศและต่างประเทศ อาทิ การคว้าแชมป์อันดับ 1 ของตารางคะแนนรวมตลอดฤดูกาลในการแข่งขันรถยนต์ GT Asia Series 2016 รุ่น GTC และรองแชมป์การแข่งขันรถยนต์ Audi LMS Cup สนามบุรีรัมย์ ทั้งยังจัดตั้งทีมรถแข่งสัญชาติไทย “สิงห์ มอเตอร์สปอร์ต ทีม ไทยแลนด์” ภายใต้การสนับสนุนของ บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด ประกอบด้วย ทีม “สิงห์ ทีพี 12 เรซซิ่งทีม” และ “สิงห์ แพลน บี มอเตอร์สปอร์ต” เช่นเดียวกับกีฬามวยไทย ซึ่งภูริตยังเป็นเจ้าของค่ายมวย RSM Academy ธุรกิจส่วนตัวที่เป็นความฝันตั้งแต่วัยเด็ก