Biznews

เครื่องดื่มดาหน้าระเบิดศึกรับหน้าร้อน

ดูเหมือนว่าศึกการแข่งขันของตลาดเครื่องดื่มทุกประเภทในปีนี้จะปะทุขึ้นเร็วกว่าปกติ เห็นได้จากมีผู้เล่นบิ๊กเนมเปิดเกมใส่กันแบบไม่ยั้งหวังช่วงชิงส่วนแบ่งในตลาดมูลค่ากว่า 5.4 หมื่นล้านให้ได้มากที่สุด ทั้งตลาดน้ำอัดลม น้ำเปล่า หรือแม้กระทั่งตลาดชาเขียว ซึ่งล้วนเป็นตลาดใหญ่ๆ ทั้งสิ้น

เริ่มกันที่ตลาดน้ำอัดลมในปีที่ผ่านมา มีมูลค่าประมาณ 54,900 ล้านบาท หดตัวลง 4.7% เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่ชะลอตัวซึ่งต้องยอมรับว่า มีการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ โดยเฉพาะแบรนด์ระดับโลกอย่าง “เป๊ปซี่” ยักษ์น้ำดำโลกที่ประกาศคืนชีพ หลังนโยบายระดับโลกมุ่ง “ควบรวม” ผู้แบ่งบรรจุภัณฑ์ (Bottler) ในไทยจนเกิดวิกฤติต้องแตกหักพันธมิตรชาวไทย บมจ.เสริมสุข เมื่อปลายปี 2555 ทำให้เป๊ปซี่ในไทยเสียหลักธุรกิจขาดบรรจุภัณฑ์ขวดแก้วให้น้ำอัดลม สูญเสียช่องทางจำหน่ายและกระจายสินค้าที่แข็งแกร่ง

ที่สำคัญเป๊ปซี่สูญเสียแชมป์ตลาดน้ำอัดลมไทยให้กับค่ายคู่รักคู่แค้นตลอดกาลอย่าง“โค้ก” (โคคา โคล่า) ถือเป็นความเจ็บปวดที่เป๊ปซี่ไม่มีทางลืม และเร่งหาทุกช่องทางเพื่อทวงบัลลังก์แชมป์น้ำอัดลมกลับคืนให้เร็วที่สุด

ล่าสุด เครื่องดื่ม “เป๊ปซี่” โดยบริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด ออกตัวเร็วกว่าใครเพื่อนด้วยการบุกหนักรับซัมเมอร์นี้ด้วยการเปิดตัวแคมเปญระดับโลกที่มีชื่อ “เป๊ปซี่ ซ่าทุกยุค…ไม่มีเปลี่ยน” (PEPSI GENERATIONS) เพื่อฉลองครบรอบ 120 ปีของการเป็นแบรนด์เครื่องดื่มร่วมสมัยที่ครองใจคนรุ่นใหม่ในทุกเจเนเรชันนับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ภายใต้งบประมาณกว่า 300 ล้านบาท

ร้อนนี้ เป๊ปซี่ เตรียมสร้างประสบการณ์ความยิ่งใหญ่ทั่วโลกอีกครั้งด้วยการเปิดตัวแคมเปญใหม่ล่าสุด PEPSI GENERATIONS หรือ ‘เป๊ปซี่ ซ่าทุกยุค…ไม่มีเปลี่ยน’ ที่จะพาทุกคนย้อนวันวานไปสัมผัสกับกลิ่นอายความทรงจำสุดเร้าใจในสไตล์เป๊ปซี่ที่สามารถครองความนิยมของคนรุ่นใหม่และกลายเป็นวัฒนธรรมร่วมสมัยของคนในทุกเจเนเรชัน โดยแคมเปญนี้จะเปิดตัวใน 55 ประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ซึ่งจะโฟกัสไปที่ 4 กลยุทธ์หลักหรือ 4C นั่นคือ การสื่อสารการตลาดแบบครบวงจร (Comprehensive Communication) การนำเสนอแพ็คเกจจิ้งรุ่นพิเศษ (Commemorative Packaging) การร่วมมือกับแบรนด์เสื้อผ้าชั้นนำในประเทศ (Collaboration with Local Brand) และการสร้างประสบการณ์ร่วมกับผู้บริโภค (Connected Consumer Experience)

นอกจากนี้ เป๊ปซี่ยังเดินเครื่องต่อด้วยการจับมือกับแบรนด์แฟชั่นเกรย์ฮาวด์ ออกคอลเล็กชั่นพิเศษ PEPSI X GREYHOUND อาทิ เสื้อยืด เสื้อคลุมแบบมีฮูด เสื้อแจ็กเกต ฯลฯ วางจำหน่ายเดือนมีนาคมเป็นต้นไป และเตรียมเปิดตัวพ็อปอัพสโตร์ PEPSI GENERATIONS CLUB ที่เซ็นทรัลเวิลด์ วันที่ 23-25 ก.พ. ที่จะถึงนี้ เพื่อสร้างการเข้าถึงและการมีส่วนร่วมของผู้บริโภคต่อแบรนด์เป๊ปซี่ให้มากขึ้น

อย่างไรก็ตาม เป๊ปซี่ เชื่อว่า เป็นเพียงแบรนด์น้ำดำเพียงแบรนด์เดียวที่ยังรักษาอัตราการเติบโตได้เป็นบวกซึ่งสวนทางกับแบรนด์อื่นๆ ในตลาด และยังสามารถรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดในบรรจุภัณฑ์แบบไม่ต้องคืนขวด (Non-Returnable Packaging) โดยมีส่วนแบ่งการตลาดมากกว่าร้อยละ 455

ไม่เพียงเท่านั้น ในด้านความแข็งแกร่งของแบรนด์ (Brand Health) เป๊ปซี่โชว์ตัวเลขใ้เห็นว่า ยังคงครองแชมป์อันดับหนึ่งในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น แบรนด์ที่ผู้บริโภครักและชื่นชอบ (Brand Love) แบรนด์เครื่องดื่มที่เติมเต็มความสดชื่นได้อย่างเต็มที่ (Ultimate Refreshment) และแบรนด์ที่มีความเป็นผู้นำเทรนด์ (Trendsetter) โดยมีคะแนนที่ร้อยละ 62 70 และ 71 ตามลำดับ

ต้องวัดกันว่า แคมเปญ PEPSI GENERATIONS นี้จะสามารถสร้างสีสันและทำให้แบรนด์เป๊ปซี่จะอยู่เคียงข้างและครองใจผู้บริโภคชาวไทยในทุกเจเนเรชันได้จริงหรือไม่

ขณะที่เครื่องดื่ม “โค้ก” โดยกลุ่มธุรกิจโคคา-โคลา ในประเทศไทย ในฐานะแชมป์ส่งแคมเปญใหม่ ‘ฮูลาฮูล่ากับโค้กหน้าร้อนนี้’ ต้อนรับเทศกาลแห่งการเดินทางช่วงฤดูร้อน ร่วมปลุกกระแสการท่องเที่ยวในประเทศไทย ชูความภาคภูมิใจของไทย ในฐานะหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมของโลก เปิดตัวฉลากใหม่สุดพิเศษบนกระป๋องและขวดโค้ก PET ที่มากับชื่อและไอค่อนสัญลักษณ์ของจุดหมายในการท่องเที่ยวยอดนิยมทั่วประเทศไทยให้เลือกสะสมถึง 24 ลาย พร้อมส่งต่อประสบการณ์ซ่าสดชื่นทั่วประเทศแล้วตลอดฤดูร้อนนี้

โค้กได้คัดเลือกชื่อและไอค่อนสัญลักษณ์ของแหล่งท่องเที่ยวเด่นๆ 24 แห่งในประเทศไทยมาไฮไลต์บนฉลากบรรจุภัณฑ์ของเครื่องดื่มโค้ก และหวังว่าคนไทยจะได้สนุกกับการตามเก็บผลิตภัณฑ์ให้ครบทั้ง 24 แบบ หรือสนุกกับการตามหากระป๋อง หรือขวดที่มีลายพิมพ์ที่มีความหมาย เพื่อแบ่งปันความทรงจำดีๆ ร่วมกับคนพิเศษที่รออยู่ที่บ้าน

สำหรับกิจกรรมสื่อสารการตลาดแบบครบวงจร ของแคมเปญ “ฮูลาฮูล่ากับโค้กหน้าร้อนนี้” ประกอบไปด้วยภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ นำแสดงโดยปันปัน สุทัตตา อุดมศิลป์ สื่อโฆษณานอกบ้าน ตามจุดสำคัญๆ ของการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นท่าอากาศยานดอนเมืองและท่าอากาศยานหลักๆ ครอบคลุมสี่ภาคทั่วไทย อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ สื่อโฆษณานอกบ้าน ใหม่ๆ เช่นการใช้พื้นที่ยอดตึกใบหยกทาวเวอร์เป็นแบรนด์แรก ไปจนถึงการจับมือร่วมเป็นพันธมิตรกับสายการบินชั้นนำอย่างแอร์เอเชีย โดยผู้โดยสารของสายการบินแอร์เอเชียที่เดินทางไปยังจุดหมายปลายทางในประเทศจะได้รับเครื่องดื่มโค้กที่มากับชื่อและไอค่อนสัญลักษณ์ของจังหวัดนั้นๆ ฟรี ซึ่งกิจกรรมทั้งหมดในแคมเปญนี้มุ่งปลุกกระแสการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศไทย และต้อนรับผู้บริโภคสู่เทศกาลเดินทางท่องเที่ยวช่วงฤดูร้อน เน้นสร้างการรับรู้ และให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วมตลอดเส้นทางการเดินทาง

ด้านความเคลื่อนไหวของ “เอส โคล่า” จากค่ายเสริมสุข หลังจากที่ควงบอยแบนด์กรุ๊ปจากเกาหลี GOT7 นั่งแท่นพรีเซ็นเตอร์เข้าปีที่ 3 เพื่อตอกย้ำการรับรู้ และฐานลูกค้าที่เป็นคนรุ่นใหม่ให้แข็งแรงอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ส่งทีวีซี “เอส โคล่า ซ่าซี้ด สุดขั้ว ม่วนอีหลี กับ GOT7” ออกมาได้ไม่นาน เพื่อขยายฐานแบรนด์เลิฟ

ล่าสุด เอส โคล่า เตรียมประกาศแคมเปญ “ร้อนนี้ เอส ซ่าซี้ดเลือกได้” เปิดให้ส่งรหัสใต้ฝาผ่านแอปพลิเคชั่นเอส มีไฮไลต์เป็น 3 รางวัลใหญ่
ซึ่งสามารถเลือกได้ระหว่าง ตั๋วชมคอนเสิร์ต GOT7 ที่นิวยอร์ก 10 รางวัล หรือรถยนต์โตโยต้า Ativ รุ่น J Eco 20 รางวัล หรือจักรยานยนต์ยามาฮ่า Qbix 180 รางวัล หรือโฟโต้บุ๊ก GOT7 พร้อมลายเซ็น 1,000 รางวัล งานนี้เอส โคล่า เริ่มยิงตั้งแต่ 15 ก.พ. และลากยาวไปจนถึง 31 พ.ค. 2561หวังดึงดูดทั้งแฟนคลับศิลปินเกาหลีและผู้บริโภคทั่วไป รวมถึงสร้างฐานผู้ใช้งานแอปพลิเคชั่น เอส ไปพร้อมกัน

ด้านความเคลื่อนไหวของตลาดน้ำดื่มมูลค่า 3.5 หมื่นล้านบาทก็น่าสนใจไม่แพ้กัน โดยเป็นการขับเคี่ยวกันระหว่างคริสตัล ค่ายเสริมสุขของไทยเบฟ กับ่รักคู่แค้นตลอดกาลอย่าง สิงห์ ที่ผลัดกันชิงความเป็นที่ 1 เรื่อยมา

นอกจากคู่รักคู่แค้นตลอดกาลในตลาดน้ำดำอย่างโค้กและเป๊ปซี่แล้ว ในตลาดน้ำดื่มคงต้องยกให้คู่นี้ “สิงห์” กับ “คริสตัล” ซึ่งรายหลังนี้อยู่ภายใต้ชายคาไทยเบฟที่นอกจากจะเปิดศึกในตลาดแอลกอฮอล์แล้ว ยังตามมาระเบิดศึกในตลาดนอนแอลกอฮอล์อย่างตลาดน้ำดื่มซึ่งในปีที่ผ่านมามีมูลค่า 35,000 ล้านบาท ชนิดหายใจรดต้นคอกันเลยทีเดียว

ฝั่งของ“คริสตัล” ที่ทำตลาดมานานกว่า 20 ปีของค่ายไทยเบฟฯ นั้นต้องยอมรับว่าในระยะ 2-3 ปีหลังมีการทำตลาดที่น่าสนใจและค่อยๆ ตีตื้นไล่แซงแบรนด์อื่นๆ ในตลาดจากเบอร์ 3 ขึ้นสู่เบอร์ 2 และปัจจุบัน คริสตัล ก้าวขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ในตลาดน้ำดื่มแซงน้ำสิงห์เรียบร้อยแล้ว ด้วยส่วนแบ่งตลาดที่ห่างกันเพียง 1% นั่นคือ คริสตัล มีมาร์เก็ตแชร์ 21% น้ำสิงห์แชมป์เก่า อยู่ที่ 20%

กลยุทธ์หลักๆ ของคริสตัลที่สามารถปราบมือวางอันดับ 1 อย่างสิงห์ได้ ไล่เรียงตั้งแต่การวาง Positioning ที่ชัดเจนว่า “น้ำดื่มไมได้เหมือนกันหมด” ด้วยการชูหมัดเด็ดที่ว่า ป็นน้ำดื่มคุณภาพที่ได้รับการรับรองมาตราฐาน NSF จากสหรัฐอเมริกา เพื่อสื่อสารตรงไปถึงผู้บริโภคผ่านการโฆษณาทั้งออนไลน์ออฟไลน์และแคมเปญต่างๆ ให้เป็นที่จดจำของผู้บริโภค รวมทั้งการใช้พรีเซ็นเตอร์หน้าละอ่อนอย่าง นาย–ณภัทร เสียงสมบุญ ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จและสรา้งการจดจำได้เป็นอย่างดี

หมัดเด็ดต่อมาของคิสตัลคือ โรงงานผลิต ปัจุจบัน คริสตัลมีโรงงานผลิตทั้งสิ้น 12 แห่งครอบคลุมทั่วประเทศ ปีนี้มีแผนที่จะเปิดเพิ่มอีก 1 แห่งในภาคเหนือเป็นแห่งที่ 13 ก่อนหน้านี้ได้ลงทุน 350 ล้านบาท ขยายสายการผลิตน้ำดื่มคริสตัลแห่งใหม่ที่โรงงานในอำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งโรงงานใหม่นี้ถือเป็นแห่งที่สองที่สุราษฎร์ธานี รวมท้ังจะขยายไลน์การผลิตน้ำดื่มคริสตัลเพิ่มที่โรงงานปทุมธานี เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจอีกด้วย ปัจจุบัน คริสตัลมีกำลังการผลิตจากโรงงานทั่วประเทศรวม 1,200 ล้านลิตรต่อปี

และหมัดเด็สำคัญที่ส่งให้คริสตัลคว่ำแชมป์เก่าอย่างสิงห์ได้คือ ช่องทางการจัดจำหน่าย ซึ่งหลังจากซุกใต้ปีกไทยเบฟฯ ส่งผลให้คริสตัลสามารถเข้าถึงร้านค้าได้หลากหลายและครอบคลุมทั่วทั้งประเทศ

ขณะที่แผนการทำตลาดของคริสตัลก็โดดเด่นไม่เป็นรองใคร ผ่านพรีเซ็นเตอร์คนสำคัญอย่าง นาย ณภัทร ซึ่งล่าสุดได้ต่อสัญญาเป็นปีที่ 3 เรียบร้อยแล้ว

ล่าสุด ได้เปิดตัวแคมเปญ “สั่งน้ำดื่ม เจาะจงคริสตัล” ตอกย้ำแบรนด์น้ำดื่มคุณภาพตัวจริง พร้อมร่วมมือกับ “วู้ดดี้ เวิลด์” จัดกิจกรรมนำเทรนด์ “Community Workout” ชวนคนไทยแข็งแรงสุขภาพดีด้วยการ ออกกำลังกาย กับ “นาย ณภัทร” “โดม ปกรณ์” และ “ไอซ์ อภิษฎา” ซึ่งในปีนี้บริษัทฯใช้งบการตลาดเพิ่มมากขึ้นกว่าปีที่แล้ว

ปัจจุบันคริสตัลมีส่วนแบ่งการตลาด 20 % เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2560 ที่มีส่วนแบ่งตลาด 17 % มีการเติบโตขึ้นกว่า 11 % หลังจากแผนการรุกตลาดในปีนี้ คาดว่าคริสตัลจะมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 25 % ภายในสิ้นปี 2561

เลสเตอร์ เต็ก ชวน ตัน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) หัวเรือใหญ่ คริสตัล ระบุว่า ในปี 2561 คาดการณ์ตลาดรวมน้ำดื่มจะมีการเติบโตเพิ่มขึ้น จากปัจจัยในเรื่องภาษีน้ำตาลที่ส่งผลทำให้ราคาเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลปรับสูงขึ้น และผู้บริโภคหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพมากขึ้นซึ่งน้ำดื่มจะเป็นตัวที่ช่วยตอบโจทย์ในเรื่องนี้

ซึ่งในปี 2560 ตลาดรวมน้ำดื่มมีมูลค่า 35,000 ล้านบาท ติดลบ 2 % จากปัจจัยภาพรวมเศรษฐกิจระดับรากหญ้าไม่ค่อยดีและเหตุการณ์สำคัญทำให้ผู้บริโภคไม่ได้ออกมาทำกิจกรรมนอกบ้าน ทำให้ไม่มีการบริโภคมากนัก โดยช่องทางการขายในตลาดจะผ่านร้านค้าทั่วไป(TT) 60% และโมเดิร์นเทรด(MT) 40 %

ไม่เพียงเป็นที่ 1 ในไทยเท่าน้ันที่คริสตัลต้องการ ยังคิดใหญ่ด้วยการวางวิสัยทัศน์ให้แบรนด์คริสตัล เป็นผู้นำในตลาด South East Asia ภายในปี 2025 อีกด้วย

ฝั่งน้ำดื่มสิงห์ ภายใต้การทำตลาดของค่ายบุญรอดบริวเวอรี ที่ผ่านมาก็ใช่ว่าจะยอมแพ้ยังคงเดินหน้าบุกตลาดอย่างต่อเนื่องแต่พยายามที่จะหลีกเลี่ยงสงครามราคา ไอไลท์ในปีที่ผ่านมาของน้ำดื่มสิงห์และถือเป็นครั้งแรกคือการใช้ Brand Influencer เพื่อขยายฐานกลุ่มวัยรุ่นโดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่อยู่ในช่วงอายุ 20 – 30 ปีที่เป็นฐานลูกค้าที่ใหญ่ที่สุด และจะสามารถเติบโตได้อีก จึงได้เปิดตัวแคมเปญ “A PART OF YOU น้ำดื่มสิงห์เท่านั้นที่เราเลือก” ดึงตัวแทนของกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกันเข้ามาเป็น Brand Influencer มากถึง 5 คน

เด็ดสุดของน้ำดื่มสิงห์คงต้องยกให้กับการใช้พรีเซ็นเตอร์คนล่าสุดอย่าง “เจ้านาย-จินเจษฎ์ วรรธนะสิน” ลูกชายคนโตของ “เจ-เจตริน กับ ปิ่น-เก็จมณี” เป็นพรีเซ็นเตอร์น้ำดื่มสิงห์คนใหม่ ซึ่งก่อนหน้านี้แทบไม่เคยใช้พรีเซ็นเตอร์มาก่อนเลย

ไฮไลท์ของน้ำดื่มสิงห์ก่อนที่จะเปิดตัวพรีเซ็นเตอร์คนล่าสุด คือ การปล่อยไวรัลคลิป ที่ให้ “เจ้านาย” ไปขายน้ำดื่มสิงห์ในร้านคอนวีเนียนสโตร์ ปรากฏว่ามียอดวิวคนดูแล้วถึง 2 ล้านวิว ภายใน 24 ชั่วโมง ส่วนเอ็มวีมีคนดูแล้ว 70 ล้านวิว ในไอจีมีผู้ติดตามมากกว่า 1.6 ล้านคน ว่ากันว่ามากกว่าผู้ติดตามไอจีของ “น้องนาย-นภัทร เสียงสมบุญ” ผู้เป็นพรีเซ็นเตอร์ของน้ำดื่มคริสตัลด้วยซ้ำ เรียกว่าเป็นการเปิดศึกพรีเซ็นเตอร์เด็กหนุ่มวัยรุ่นอย่างถึงพริกถึงขิงแถมยังชื่อใก้เคียงกันอีกด้วย

ทั้งนี้ ในปีหน้า 2561 น้ำดื่มสิงห์วางเป้าหมายรวมไว้แล้วจะต้องเติบโต 10% และมีส่วนแบ่งเพิ่มเป็น 23% โดยเน้นการนำเสนอความแปลกใหม่ทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นตัวผลิตภัณฑ์ การสื่อสาร การตลาด และมีกิจกรรมต่อเนื่อง รวมถึงการส่งเสริมการขายรูปแบบใหม่ที่วงการน้ำดื่มไม่เคยทำมาก่อนและการขยายช่องทางจำหน่ายใหม่ๆ ที่จะรุกหนักมากขึ้น

ด้านกำลังผลิตของน้ำดื่มสิงห์ มีฐานผลิต 7 แห่ง คือ วังน้อย, สามเสน, เชียงใหม่, ขอนแก่น, มหาสารคาม, สุราษฎร์ธานีและสิงห์บุรี รวมกำลังผลิตกว่า 1,500 ล้านลิตรต่อปี ปัจจุบันผลิตเพียง 1,000 ล้านลิตรเท่านั้น จึงยังมีศักยภาพรองรับตลาดได้อีก

น้ำดื่มสิงห์นั้นเคยมีส่วนแบ่งการตลาดพุ่งสูง 25% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาและเป็นอันดับ 1 ในตลาดน้ำดื่ม แต่หลังจากการทำตลาดอย่างหนักของคู่แข่ง โดยเฉพาะกลยุทธ์ราคาซึ่งสิงห์หลีกเลี่ยงทำให้สูญเสียส่วนแบ่งการตลาดลดลงเรื่อยๆ จนตกเป็นรองในที่สุด

ขณะที่ตลาดชาเขียวพร้อมดื่มมูลค่า 1.5 หมื่นล้านบาท ต้องเผชิญกับความท้าทายของตลาดที่อิ่มตัว ส่งผลให้การแข่งขันสองค่ายระหว่าง โออิชิ ซึ่งมีส่วนแบ่งกว่า 45% และอิชิตันมีส่วนแบ่งกว่า 40% ยังซุ่มเงียบกับการทำแคมเปญชิงโชคในช่วงหน้าร้อน ซึ่งถือว่าเป็นไฮไลท์ของซัมเมอร์ทุกๆ ปี กับทีเด็ดของรางวัล

แต่ล่าสุดโออิชิเดินหน้ากระตุ้นการทำเทรดโปรโมชั่นกับยี่ปั๊วที่เข้าร่วมรายการ โดยจะให้งบสำหรับการทำตลาดในช่องทางการขาย พร้อมมีของรางวัลให้กับซาปั๊วหรือผู้บริโภคที่เข้าไปซื้อสินค้า นอกจากนี้ยังเตรียมโรดโชว์เซเลบริตี้ ณ จุดขาย โดยที่ร้านค้าต้องทำยอดขายให้ได้ตามเป้าหมายหรือเติบโต 30%

โออิชิ ชี้แจงว่า ปัจจุบันมีส่วนแบ่งการตลาด 46.4% ในประเทศ (ข้อมูลจาก Nielsen : ต.ค. – ธ.ค. 2560) โดยเฉพาะในช่องทางร้านค้าปลีก (Traditional Trade) มีส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 54.7% หรือเติบโตเพิ่มขึ้น 4.6% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซัมเมอร์นี้ โออิชิ พร้อมสร้างความแข็งแกร่งไปอีกขั้นด้วยการขยายฐานแบรนด์เลิฟให้มากยิ่งขึ้น ด้วยโปรโมชั่นหน้าร้อนสุดยิ่งใหญ่แห่งปีที่ทุกคนรอคอย “โออิชิ โอทั้งคู่ ยูเลือกได้” ครั้งแรกของชาเขียวพร้อมดื่ม ที่ให้ผู้บริโภคเลือกของรางวัลได้ตามความต้องการ ภายใต้งบประมาณกว่า 300 ล้านบาทตลอดแคมเปญ เพื่อสร้างยอดขายในช่วงซัมเมอร์ และเสริมความแข็งแกร่งของแบรนด์ให้มากขึ้น

นี่เป็นเพียงระฆังยกแรกของตลาดเครื่องดื่มในช่วงซัมเมอร์นี้เท่านั้น เชื่อเหลือเกินว่าร้อนนี้อุณหภูมิเดือดเพิ่มหลายองศาอย่างแน่นอน

Related Articles

Back to top button
X
%d bloggers like this: