***** บทความนี้บางตอนผ่านการวิ เคราะห์และเรียบเรียงด้วยถ้ อยคำภาษาที่สุภาพจากเหตุการณ์ ทางการเมืองไทยที่เคยเกิดขึ้ นในอดีต มิได้มีจุดประสงค์เพื่อการชี้ นำแต่อย่างใด อาจมีบางประเด็นที่ไม่ใช่ข้อมู ลจากการสำรวจโดยสำนักโพลซึ่ งเกรงใจรัฐบาล #มีฤทธิสร้างความระคายเคื องระหว่างการอ่าน *****
เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าต่ อให้มีการชุมนุมกดดันให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ลาออกจากตำแหน่ง หรือจะขับไล่อย่างไร และในอนาคตจะมีอีกกี่ครั้ง อำนาจวันนี้ที่มีนั้นทำให้นายกฯ กลายเป็น “ทองไม่รู้ร้อน” ไปแล้ว
ใช้กำลังและอาวุธสลายการชุมนุ มที่ไม่ได้เข้าข่ายหลักสากลก็ยั งไม่ทำให้ขาเก้าอี้ของ พล.อ.ประยุทธ์ สั่นคลอน
การบริหารที่ล้มเหลวช่วงวิ กฤตประชาชนล้มตายเป็นจำนวนมาก จนกลายเป็น Fail State ก็ไม่ได้ระคายเคืองให้นายกฯรู้ สึกกระดากแต่อย่างใด
แล้วจะมีเหตุผลอะไรทำให้ นายกฯ พ้นจากตำแหน่ง แบบไม่ต้องเหนื่อยให้ออกมาชุมนุ มกดดันให้ลาออก
4 เหตุผลต่อไปนี้มาไล่เรี ยงจากความเป็นไปได้น้อยที่สุ ดไปถึงเป็นได้มากที่สุ ดในทางทฤษฎี ซึ่งผมยืนยันว่า 3 ใน 4 ข้อ ที่ทุกท่านจะได้รับทราบต่อไปนี้ คือทางทฤษฎี ยกเว้นข้อสุดท้ายที่เป็ นไปในทางปฏิบัติ
1 #ปฏิวัติโดยทหาร “หนามยอกเอาหนามบ่ง”
หลายคนมองว่าเรื่องนี้เป็นไปไม่ ได้เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ งการรวบอำนาจเบ็ดเสร็จเริ่ มจากการสร้างทายาทอสูรขึ้นมาคุ มกองทัพ และเข้าไปจัดการด้ วยการรวบอำนาจในกระทรวงกลาโหม พร้อมทั้งให้รางวัลด้วยการอนุมั นิซื้อยุทโธปกรณ์ตามที่กองบั ญชาการ 4 กองทัพร้องขอ เรียกได้ว่าซื้อใจกันสุดๆ
แต่กงล้อประวัติศาสตร์การเมื องไทยมันเคยหมุนมาอย่างนั้นครับ ผมอยากจะยกตัวอย่างสัก 2 กรณี
1. การเลือกตั้งครั้งที่ 9 ในไทยมีขึ้นเมื่อวันที่ 26 ก.พ. 2500 จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีขณะนั้น ได้ประกาศจะจัดการเลือกตั้งให้ บริสุทธิ์ ถวายเป็น “พุทธบูชา” เนื่องในโอกาสครบรอบวาระกึ่งพุ ทธกาล หลังผลการเลือกตั้ง สื่อมวลชนออกมาประนามว่าเป็ นการเลือกตั้งที่สกปรก แต่จอมพล ป.แถลงต่อหนังสือพิมพ์ว่า อย่าเรียกว่าการเลือกตั้งสกปรก ควรจะเรียกว่าเป็น “การเลือกตั้งไม่เรียบร้อย”
ต่อมาเหตุการณ์บานปลายกลายเป็ นความขัดแย้งกันระหว่างกลุ่ มทหารและตำรวจที่สนับสนุน จอมพล ป. และ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้บัญชาการทหารบก จนกลายเป็นการรัฐประหารในวันที่ 16 ก.ย. 2500 โดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นหัวหน้าเข้าทำการโค่นอำนาจ
ซึ่งทำให้สยามเข้าสู่ยุคพ่อขุ นอุปถัมถ์แบบเผด็ จการทหารครองอำนาจจนถึงปี 2516
2. เหตุการณ์รัฐประหารตนเอง ในเวลา 19.00 น. ของวันที่ 17 พ.ย. 2514หลังจากรัฐบาลเสนอร่ างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ ายประจำปี 2515 ผ่าน สภาผู้แทนราษฎร เมื่อ ก.ค. 2514 แล้วสภาฯ ผู้อนุมัติรับหลักการในวาระที่ 1 เรียบร้อยแล้ว แต่เพราะ ส.ส. บางส่วนต้องการเพิ่มเงิ นงบประมาณในส่วนเงินบำรุงท้องที่ เป็นเงิน 448 ล้านบาทจากที่รัฐบาลได้จั ดสรรเงินให้เพียง 224 ล้านบาท ทำให้เกิดเป็นความขัดแย้งกั นระหว่างรัฐบาลและ ส.ส. บางส่วน
จอมพลถนอม ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ,รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ,หัวหน้ าพรรคสหประชาไทยและนายกรัฐมนตรี เจ้าของฉายา “นายกฯคนซื่อ” ควบคุมสถานการณ์ในสภาผู้ แทนราษฎรไม่ได้ เลยยึดอำนาจตนเองเสียอย่างนั้น
โดยมีคำปรารภในการยึดอำนาจตั วเองครั้งนี้ว่า “ภัยที่คุกคามประเทศและราชบัลลั งก์ สถานการณ์ภายใน ความวุ่นวายทั้ งภายในและภายนอกสภานิติบัญญัติ การนัดหยุดงานของกรรมกร การเดินขบวนของนักศึกษา การแก้ไขสถานการณ์ถ้าจะดำเนิ นการตามวิถีทางรัฐธรรมนูญย่ อมไม่ทันต่อเหตุการณ์ จึงจำเป็นต้องใช้การยึ ดอำนาจการปกครองเพื่อให้ สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้โดยเฉี ยบขาดและฉับพลัน”
ก่อนกลายเป็นสาเหตุให้เกิด เหตุการณ์ 14 ตุลา ในอีก 2 ปี ต่อมา
แน่นอนครับว่าทฤษฎีนี้เป็นไปได้ ยากที่สุด ตราบเท่าที่ประชาชนยังเรียกร้ องประชาธิปไตยและต่อต้านเผด็ จการ
2 #กลไกรัฐสภา
จะเห็นได้ว่าในอดีตการรั ฐประหารตัวเองของจอมพลถนอม มาจากความขัดแย้งที่เริ่มต้นที่ สภาผู้แทนราษฎร เพราะฉะนั้นแม้ในยุคที่ บางคนบอกว่าเป็นเผด็จการแบบสุ ดขั้วก็ยังต้องจำนนต่ อผลประโยชน์ที่ไม่ลงตัวของ “งบประมาณ” ที่สภาฯอนุมัติรับหลักการไปแล้ว
มองสถานการณ์ในปัจจุบันที่ค่ อนข้างลางเลือนและยังไม่มีวี่ แววว่าพรรคร่วมรัฐบาลจะแตกแถวอั นเนื่องมาจากผลประโยชน์ในเก้าอี้ ต่างๆหอมหวลกว่ าความตายประชาชนที่ทุกข์ทนกับวิ กฤตโควิดระบาด อีกทั้งยังมีสมาชิกวุฒิสภาเป็ นแผนสำรองในการลงมติเลือก พล.อ.ประยุทธ์ กลับมานั่งตำแหน่งนายกฯ ได้ทุกเมื่อ
แต่สถานการณ์ที่รัฐบาลกำลั งทำการกู้เงินแบบหน้ามืด รัฐธรรมนูญ ปี 2560 มาตรา 144 ระบุว่า ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ งบประมาณรายจ่ายประจำปี งบประมาณ ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ ายเพิ่มเติม และร่างพระราชบัญญัติ โอนงบประมาณรายจ่าย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะแปรญัตติ เปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขเพิ่มเติ มรายการหรือจำนวนในรายการมิได้ แต่อาจแปรญัตติในทางลดหรือตั ดทอนรายจ่ายซึ่งมิใช่รายจ่ ายตามข้อผูกพันอย่างใดอย่างหนึ่ ง ดังต่อไปนี้
(1) เงินส่งใช้ต้นเงินกู้ (2) ดอกเบี้ยเงินกู้ (3) เงินที่กำหนดให้จ่ายตามกฎหมาย
ในกรณีที่ ส.ส. หรือ สว. มีจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มี อยู่ของแต่ละสภา เห็นว่ามีการกระทำที่ฝ่าฝืนบทบั ญญัติตามวรรคสอง (ดอกเบี้ยเงินกู้) ให้เสนอความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนู ญเพื่อพิจารณา และศาลรัฐธรรมนูญต้องพิจารณาวิ นิจฉัยให้แล้วเสร็จภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับความเห็นดั งกล่าว
ถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ามี การกระทำที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติ ตามวรรคสอง ให้การเสนอ การแปรญัตติ หรือการกระทำดังกล่าวเป็นอันสิ้ นผล
ถ้าผู้กระทำการดังกล่าวเป็น ส.ส.หรือ สว. ให้ผู้กระทำการนั้นสิ้นสุดสมาชิ กภาพนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนู ญมีคำวินิจฉัย และให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลื อกตั้งของผู้นั้น
ในกรณีที่คณะรัฐมนตรีเป็นผู้ กระทำการหรืออนุมัติให้ กระทำการหรือรู้ว่ามีการกระทำดั งกล่าวแล้วแต่มิได้สั่งยับยั้ง ให้คณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งทั้ งคณะ นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมี คำวินิจฉัย และให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลื อกตั้งของรัฐมนตรีที่พ้ นจากตำแหน่งนั้น
เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้ อยู่ในที่ประชุมในขณะที่มีมติ และให้ผู้กระทำการดังกล่าวต้ องรับผิดชดใช้เงินนั้นคืนพร้ อมด้วยดอกเบี้ย
ในทางหลักการหลังจากนี้ ยังคงต้องส่งเรื่องต่อไปยัง สำนักงานคณะกรรมการป้องกั นและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) อีกครับ ซึ่งผมขอละไว้ในฐานที่เข้าใจ (ฮา)
3 #ตามข้อบังคับของรัฐธรรมนูญ ปี 2560
สรุปสั้นๆ มีมาตรา 158 คือ นายกรัฐมนตรีจะดำรงตำแหน่งรวมกั นแล้วเกิน 8 ปีมิได้ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการดำรงตำแหน่งติ ดต่อกันหรือไม่ แต่มิให้นับรวมระยะเวลาในระหว่ างที่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่ อไปหลังพ้นจากตำแหน่ง
มาตรา 170 ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุ ดลงเฉพาะตัว เมื่อ (4) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ ามตามมาตรา 160
มาตรา 160 (4) มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ ประจักษ์ (5) ไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝื นหรือไม่ปฏิบัติ ตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ ายแรง
มาตรา 186 (1) การดํารงตําแหน่งหรือการดําเนิ นการที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นหน้ าที่หรืออํานาจของรัฐมนตรี
นอกจากกรณีตามวรรคหนึ่ง รัฐมนตรีต้องไม่ใช้สถานะหรือตํ าแหน่งกระทําการใดไม่ว่ าโดยทางตรงหรือทางอ้อม อันเป็นการก้าวก่ายหรื อแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ ของเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่ อประโยชน์ของตนเอง ของผู้อื่น หรือของพรรคการเมืองโดยมิ ชอบตามที่กําหนดในมาตรฐานทางจริ ยธรรม
และสุดท้ายที่เกิดขึ้นได้ยากมาก แต่ก็อาจเกิดขึ้นได้หากเหลิ งอำนาจกันถึงที่สุด คือ มาตรา 169 ครม. ที่พ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 167 (2) รัฐมนตรีทั้งคณะพ้นจากตำแหน่ง เมื่ออายุสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุ ดลงหรือมีการยุบสภาผู้แทนราษฎร
รัฐมนตรีที่พ้นตำแหน่งไปแล้วแต่ ยังต้องรักษาการต่อต้องปฏิบัติ หน้าที่ต่อ ดังต่อไปนี้
(1) ไม่กระทำการอันมีผลเป็นการอนุมั ติงานหรือโครงการ หรือมีผลเป็นการสร้างความผูกพั นต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป เว้นแต่ที่กำหนดไว้แล้ วในงบประมาณรายจ่ายประจำปี
(2) ไม่แต่งตั้งหรือโยกย้ายข้ าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงิ นเดือนประจำหรือพนักงานของหน่ วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือกิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่ หรือให้บุคคลดังกล่าวพ้ นจากการปฏิบัติหน้าที่ หรือพ้นจากตำแหน่ง หรือให้ผู้อื่นมาปฏิบัติหน้าที่ แทน เว้นแต่จะได้รับความเห็ นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้ งก่อน
(3) ไม่กระทำการอันมีผลเป็นการอนุมั ติให้ใช้จ่ายงบประมาณสำรองจ่ ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เว้นแต่จะได้รับความเห็ นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้ งก่อน
(4) ไม่ใช้ทรัพยากรของรัฐหรือบุ คลากรของรัฐเพื่อกระทำการใดอั นอาจมีผลต่อการเลือกตั้ง และไม่กระทำการอันเป็นการฝ่าฝื นข้อห้ามตามระเบียบที่ คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด
จะเห็นได้ว่าก็มีบางมาตราที่ หากรัฐมนตรีทั้งคณะพ้นสภาพก็ ทำให้นายกรัฐมนตรีต้องพ้ นจากตำแหน่งด้วยเช่นกัน หรือ การทำให้นายกรัฐมนตรีพ้ นจากตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหม แล้วรอให้ทำผิดมาตรา 169 ครับ
4 #มีผู้เสียชีวิตจากการชุมนุม
ผมไม่คิดว่านี่เป็นทางเลือกที่ ดีหรือทางออกของประเทศนะครับ แต่ในทางปฏิบัตินี่คือสิ่งที่ ทำให้นานาชาติกดดันรัฐบาลได้
ขออนุญาตไม่กล่าวถึงรายละเอี ยดนะครับ เพราะผมไม่สนับสนุนให้เกิ ดความรุนแรงใดๆทั้งสิ้น
ใครที่เคยคิดว่าการปล่อยให้ ประชาชนเสียชีวิตข้างถนนจะทำให้ นายกรัฐมนตรีออกมาแสดงความรับผิ ดชอบสักหน่อยหรือขอโทษประชาชนสั กนิด วันนี้คงทราบกันแล้วว่า พล.อ.ประยุทธ์ คือผู้นำที่บริหารประเทศด้วยวิ ธี Work from home คนเดียวในโลก ระหว่างนั้นก็แถลงผ่านเฟซบุ๊ กโทษประชาชนว่าการ์ดตกเป็นเหตุ ทำให้การระบาดหนักขึ้น โดยไม่เคยรู้สึกว่าการจัดหาวั คซีนที่มีคุณภาพมาให้ประชาชนล่ าช้าเป็นความรับผิดชอบของรัฐบาล
ไม่เพียงสะท้ อนระบบราชการไทยภายใต้การบริ หารของนายกรัฐมนตรีที่ตลอดทั้ งชีวิตดำรงอาชีพอยู่แต่ในค่ ายทหารขาดความรู้ความสามารถเท่ านั้น แต่ยังทำหูทวนลมไม่ฟังเสี ยงประชาชนที่เรียกร้องให้ ลาออกอีกด้วย
ความสามารถไม่มีแต่นายกรั ฐมนตรีบอกว่าจะสู้จนกว่าจะชนะ …คำถามคือท่านกำลังต่อสู้กั บใคร และจะเอาชนะใคร?
….เอาชนะประชาชน?
(โดย…ธนก บังผล)
Post Views:
18,633
Like this: Like Loading...
Related