ส่อง 2 บิ๊กดีลสะท้านโลก “หมดยุคสู้เดี่ยว”
ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ในทางธุรกิจบนโลกใบนี้ เมื่อการทำธุรกิจตามลำพังอาจจะทำให้เดินช้าเกินไปหนทางในการช่วยสปริงบอร์ดแบบก้าวกระโดดแบบที่บริษัทชั้นนำทั่วไปนิยมทำกันคือ การควบรวมกิจการ ซึ่งเกิดขึ้นแล้วในหลายธุรกิจทั้งลักษณะกิจการประเภทเดียวกันหรือข้ามสายพันธ์ุไปเลยก็มี เช่นที่ผ่านมา Grab ซื้อกิจการ UBER ในอาเซียน เป็นต้น
กระแสการควบรวมหรือซื้อกิจการ (Merger & Acquisition: M&A) และการร่วมทุน (Joint Venture: JV) มีแนวโน้มจะเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการดำเนินกลยุทธ์การเติบโตของทุกธุรกิจทั่วโลกในอนาคต
จะเห็นได้จากความเคลื่อไหวในแวดวงธุรกิจสัปดาห์นี้คงหนีไม่พ้นข่าวใหญ่ของ 2 แบรนด์ระดับโลกอย่าง “เนสท์เล่” ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มรายใหญ่ที่ประกาศดีลธุรกิจกับ “สตาร์บัคส์” เชนกาแฟชื่อก้องโลก โดยซื้อสิทธิ์ ลิขสิทธิ์และไลเซนส์ มูลค่าประมาณ 7.15 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นเงินไทยตกอยู่ที่ 2.2 แสนล้านบาท ชนิดทำเอาวงการกาแฟทั่วโลกและในไทยคึกคักขึ้นทันตา
บริษัทเนสท์เล่ อิงค์ มองโอกาสผลกำไรจากการเติบโตของตลาดกาแฟในอนาคต เพื่อชดเชยรายได้จากการขายสินค้าประเภทอื่น
ส่วนสตาร์บัคส์จะได้รับเงินสดจำนวน 7.15 พันล้านเหรียญสหรัฐ พร้อมกับค่าลิขสิทธิ์ใบอนุญาตตลอดชีพสากล จากเนสท์เล่ ปัจจุบันมูลค่าของธุรกิจสินค้าของสตาร์บัคส์อยู่ที่ราว 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ
ทั้งนี้ เนสท์เล่ หันมาโฟกัสตลาดกาแฟในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากมองว่าจะทำกำไรได้ดี โดยก่อนหน้านี้ก็ได้ซื้อกิจการของร้านกาแฟสเปเชียลตี้ “บลู บอทเทิล คาเฟ่” ด้วย และนอกจากสินค้ากาแฟ สินค้าอื่นๆ ที่เนสเล่ย์ยังคงให้ความสนใจ ได้แก่ น้ำดื่ม อุปกรณ์สัตว์เลี้ยง และ อาหารทารก ข้อตกลงดังกล่าวคาดว่าแล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้
“พันธมิตรกาแฟระดับโลกนี้จะช่วยถ่ายทอดประสบการณ์การลิ้มรสกาแฟ สตาร์บัคส์ไปยังครัวเรือนหลายล้านแห่งทั่วโลกผ่านทางชื่อเสียงของเนสท์เล่” เควิน จอห์นสัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ของสตาร์บัคส์ ระบุ
นักวิเคราะห์หลายรายระบุว่า การลงทุนครั้งล่าสุดของเนสท์เล่จะช่วยให้บริษัทสามารถแข่งขันในตลาดกาแฟของสหรัฐได้ดีขึ้น หลังจากที่ถูกบริษัท แจบ โฮลดิ้ง จากเยอรมนี ที่ครอบครองธุรกิจกาแฟหลายแห่ง อาทิ คิวริคค กรีน เมาท์เทน และพีตส์ เข้ามาชิงส่วนแบ่งทางการตลาด
สำหรับสตาร์บัคส์ถือว่าเป็นผู้นำในตลาดกาแฟของสหรัฐ โดยบริษัทวิจัย ยูโรมอนิเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เปิดเผยว่า สตาร์บัคส์ครองส่วนแบ่งทางการตลาดใน สหรัฐไว้ที่ 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 4.3 แสนล้านบาท) ขณะที่เนสท์กาแฟและเนสท์เปรสโซครองส่วนแบ่งทางการตลาดส่วนใหญ่ทั่วโลก
“ดีลกับสตาร์บัคส์จะส่งผลให้เนสท์เล่ยังคงเป็นผู้นำในตลาดกาแฟเหนือแจบได้อยู่เพราะจะทำให้เนสท์เล่สามารถเข้ามาช่วงชิงพื้นที่ตลาดในสหรัฐ ที่ยังไม่สามารถแข่งขันได้เต็มที่” ฌอง ฟิลิปป์ เบิร์ตชีย์ นักวิเคราะห์จากวาณิชธนกิจ วอนโตเบล ในสวิตเซอร์แลนด์ กล่าว พร้อมเสริมว่า แม้การลงทุนดังกล่าวจะมีมูลค่าสูงแต่ก็จะได้ผลลัพธ์ที่ดีภายใน 3-4 ปี
ทั้งนี้ เนสท์เล่คาดการณ์ว่าดีล ดังกล่าวจะช่วยผลักดันยอดขายและ เป้าหมายการเติบโตภายในปี 2019 โดยข่าวดังกล่าวส่งผลให้หุ้นของเนสท์เล่ปรับตัวขึ้น 0.8% ในช่วงเปิดการซื้อขายที่ตลาดซูริกเมื่อวานนี้ หลังปรับตัวลงกว่า 9% นับตั้งแต่ต้นปี
หลังข่าวดีลระดับโลกในวงการกาแฟของ 2 แบรนด์ใหญ่อย่างเนสท์เล่และสตาร์บัคส์ได้ไม่นาน อีกหนึ่งดีลก็เกิดขึ้นในวงการเครื่องสำอางระดับโลกเช่นกัน เมื่อ ลอรีอัลประกาศซื้อหุ้น 100% ของ บริษัท นันดะ จำกัด (Nanda Co., Ltd.) บริษัทเครื่องสำอางและแฟชั่นเกาหลี ที่ก่อตั้งโดยคิม โซ ฮี ที่กรุงโซลในปีพ.ศ. 2547
สไตล์นันดะ (Stylenanda) เริ่มดำเนินกิจการด้วยธุรกิจแฟชั่น จากนั้นกิจการของบริษัทได้เติบโตขึ้นด้วยแบรนด์เครื่องสำอาง 3CE ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนมากกว่า 70% ของธุรกิจ โดยมีมูลค่ายอดขายในปีพ.ศ. 2560 ถึง 127 ล้านยูโร และมีพนักงานราว 400 คน โดยบริษัทดำเนินธุรกิจอยู่ในประเทศเกาหลีและญี่ปุ่น และได้ขยายธุรกิจไปยังตลาดต่างประเทศ ได้แก่ ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย และ ประเทศไทย
สไตล์นันดะ เป็นแบรนด์ที่ได้รับความสนใจอย่างสูงในกลุ่มคนรุ่นมิลเลนเนียลในเกาหลีและจีน บริษัทมีช่องทางจัดจำหน่ายสินค้าที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็น อี-คอมเมิร์ซ ร้านค้าปลีก จุดขายในห้างสรรพสินค้า และร้านปลอดภาษี นอกจากนี้ผู้บริโภคที่เป็นแฟนสไตล์นันดะ ยังสามารถสัมผัสประสบการณ์จากแบรนด์อย่างเต็มที่ได้ในสถานที่แฟล็กชิพต่างๆ ของแบรนด์ไม่ว่าจะเป็นที่สไตล์นันดะฮงแด พิงค์ โฮเทลและพิงค์ พูล คาเฟ่ เมียงดง โรงหนัง 3CE กาโรซูกิล และสไตล์นันดะฮาราจุกุที่โตเกียว
คิม โซ ฮี ซีอีโอและผู้ก่อตั้งสไตล์นันดะ กล่าวว่า “เราเชื่อมั่นว่าการขายกิจการครั้งนี้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของนันดะ ด้วยการสนับสนุนของลอรีอัล ซึ่งเป็นบริษัทความงามระดับโลก เราคาดว่าจะสามารถขยายเส้นทางของสไตล์นันดะสู่ตลาดระดับสากล และผลักดันให้กลายเป็นแบรนด์ที่เป็นผู้นำในด้านความงามระดับโลกได้”
ยาน เลอ บูดง ประธาน ลอรีอัล เกาหลี กล่าวว่า “ด้วยการซื้อกิจการครั้งนี้ จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ลอรีอัล เกาหลีในตลาดเมคอัพราคาระดับกลางที่ผู้บริโภคสามารถจับต้องได้ เราภูมิใจที่ได้ต้อนรับแบรนด์ความงามของเกาหลีแบรนด์แรกและมีส่วนร่วมในการนำความงามและสไตล์เกาหลีไปสู่ส่วนอื่นๆ ในโลก”
ด้วยการซื้อกิจการครั้งนี้ ลอรีอัลมีแผนจะขยายตลาดแบรนด์ 3CE ในระดับสากล คาดว่ากระบวนการซื้อกิจการจะแล้วเสร็จภายในสองเดือนหลังจากได้รับอนุมัติตามข้อกฎหมายเรียบร้อย
อนึ่ง ลอรีอัลอยู่ในธุรกิจความงามมายาวนานกว่า 100 ปี โดยมีพอร์ตโฟลิโอผลิตภัณฑ์อันเป็นเอกลักษณ์ซึ่งประกอบด้วยแบรนด์ความงามระดับโลกที่หลากหลายและเกื้อหนุนกัน 34 แบรนด์ ในปี 2016 ลอรีอัลกรุ๊ป มียอดขายผลิตภัณฑ์ 26.26 พันล้านยูโรและมีพนักงานทั้งสิ้น 82,900 คนทั่วโลก
2 ดีลระดับโลกในครั้งนี้ตอกย้ำชัดเจนว่า บางครั้งการมีเพื่อนเดินก็อุ่นใจกว่าเดินตามลำพังเยอะเลย