ธุรกิจสถานีบริการน้ำม้นในไทยยังคงแข่งขันกันอย่างดุเดือดเพื่อช่วงชิงกำลังซื้อของผู้บริโภคยิ่งในยุคโควิดระบาดเช่นนี้ การเดินทางลดน้อยลงไปมากเนื่องจากภาครัฐขอความร่วมมือ อยู่บ้าน หยุดเชื้อเพื่อชาติ ทำให้เหล่าผู้ประกอบการต่างระเบิดกลยุทธ์ชิงความได้เปรียบวันนี้ เราจะพาไปส่องกลยุทธ์ของเหล่าเบอร์รองในธุรกิจอย่างปั้มพีที น้องใหม่มาแรงแซงทางโค้งเข้าวินเบอร์ 2 ไปเรียบร้อย กับ เชลล์ อีกหนึ่งปั้มน้ำมันเก่าแก่ในไทย
‘พีทีจี’ ลุยนอนออยล์รักษารองแชมป์
พิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เผยว่า ปี 2564 เตรียมงบประมาณลงทุน 4,000-4,500 ล้านบาท สำหรับขยายธุรกิจทั้งในธุรกิจหลัก ธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน รวมถึงธุรกิจใหม่ แบ่งเป็นการขยายสถานีบริการน้ำมันและแก๊ส LPG 3,000-3,500 ล้านบาท ลงทุนในธุรกิจ Non-Oil จำนวน 500 ล้านบาท ได้แก่ ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม และที่เหลืออีกประมาณ 500 ล้านบาท เป็นการลงทุนในธุรกิจใหม่
ทั้งนี้ ตั้งเป้าสัดส่วนรายได้ธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจน้ำมัน (Non-Oil) เพิ่มเป็น 60-70% ภายใน 5 ปี หรือ ปี2568 จากปัจจุบัน มีสัดส่วน 4% เนื่องจากเป็นธุรกิจที่สร้างกำไรสูงกว่าน้ำมัน ซึ่งเป็นผลจากลยุทธ์ผลักดันการเติบโตธุรกิจ Non-Oil โดยตั้งเป้าจะเพิ่มสาขา Non-Oil อีก 100-150 สาขา เพื่อให้บริการที่หลากหลายและครอบคลุมทุกพื้นที่ เช่น ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ได้แก่ ร้านกาแฟพันธุ์ไทย ซึ่งตั้งเป้า 5 ปีข้างหน้าจะมีทั้งหมด 2,000 สาขา ทั้งในไทย และ CLMV ซึ่ง 70% อยู่ในปั๊มน้ำมัน และ 30% อยู่ในนอกปั๊ม
อย่างไรก็ตาม ปี 2564 ตั้งเป้ามีกำไรก่อนหักภาษีและค่าเสื่อม (EBITDA) เติบโตอยู่ที่ 10-15% เนื่องจากเห็นโอกาสการเติบโตในอุตสาหกรรมน้ำมันภาพรวมต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา ซึ่งมีปริมาณการจำหน่ายน้ำมันอยู่ที่ 4,959 ล้านลิตร หรือคิดเป็นเติบโต 5.9% เมื่อเทียบจากปีก่อน และสูงกว่าอุตสาหกรรมโดยรวมที่มีปริมาณจำหน่ายน้ำมันโดยรวมอยู่ที่ 34,837 ล้านลิตร หรือลดลง 1.2% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ทำให้บริษัทฯ ตั้งเป้าเพิ่มปริมาณการจำหน่ายน้ำมันในปีนี้โต 8-12% เพื่อรักษาส่วนแบ่งการตลาด(มาร์เก็ตแชร์)อันดับที่2
สำหรับความคืบหน้าธุรกิจกัญชง ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรที่ได้ยื่นขอใบอนุญาตทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับกัญชงจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แล้ว รวมไปถึงมีการร่วมมือกับวิสาหกิจชุมชนเพื่อที่จะปลูกกัญชงมารองรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในไตรมาส 2-3 ปีนี้ โดยนำผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ไปจำหน่ายในร้านค้าในเครือ
นอกจากนี้ ยังเตรียมเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวเรือ “ร่าเริง” ผสมใบกัญชา ในปั๊มน้ำมัน PT เป็นหลัก ซึ่งขณะนี้อยู่ในกระบวนการพัฒนาสินค้าให้ได้มาตรฐานและยึดหลักความถูกต้องตามกฎหมาย
“เชลล์”เปิดจุดชาร์จอีวีแห่งแรกในเมืองไทย
เรืองศักดิ์ ศรีธนวิบุญชัย รักษาการกรรมการบริหาร ธุรกิจการตลาดค้าปลีก บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า ได้เปิดจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ณ จุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าภายใต้แบรนด์ Shell Recharge แห่งแรกในประเทศไทย ร่วมกับบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ที่สถานีบริการน้ำมันเชลล์บนถนนกาญจนาภิเษก
ปัจจุบันโลกกำลังก้าวสู่การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน มีการเปลี่ยนผ่านจากการใช้พลังงานฟอสซิลมาสู่พลังงานทางเลือกที่สะอาดและลดการปล่อยคาร์บอนมากขึ้น แม้ว่าประเทศไทยจะเป็นแหล่งผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพรายหลักของโลก แต่การพัฒนาแหล่งพลังงานทางเลือกใหม่ๆ อย่างไฟฟ้าก็นับว่ามีความสำคัญเช่นกัน โดยประเทศไทยตั้งเป้าผลิตรถยนต์ไฟฟ้าให้ได้ 750,000 คันต่อปีภายในปี 2573
นอกจากนี้รัฐบาลไทยยังได้ประกาศแผนแม่บทที่จะผลักดันให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางยานพาหนะไฟฟ้าในภูมิภาคอาเซียนภายในปี 2568 และขยายความร่วมมือกับพันธมิตรจากหลายภาคส่วนเพื่อเพิ่มจำนวนสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศ
สำหรับ เชลล์มีประสบการณ์ความเชี่ยวชาญในธุรกิจบริการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าและพลังงานสะอาดอื่นๆ ผ่านการขยายเครือข่ายการให้บริการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ากว่า 60,000 สถานีทั่วทวีปยุโรป และได้นำความเชี่ยวชาญดังกล่าวมาสนับสนุนความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการเปลี่ยนผ่านพลังงาน
ปัจจุบันจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า Shell Recharge in partnership with BMW ChargeNow ให้บริการได้ทั้งหมด 3 หัวจ่าย ทั้งในแบบ DC Quick Charge กระแสไฟตรง ที่เป็นหัวชาร์จ CHAdeMO และ CCS Type 2 จำนวน 2 หัวจ่าย สามารถชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าได้ 0-80% ภายใน 30 นาที และในแบบ AC Normal Charge กระแสไฟสลับ 1 หัวจ่าย ที่สามารถชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าได้ภายใน 3-4 ชั่วโมง
โดยจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่มีกำลังไฟฟ้าอยู่ที่ 50 กิโลวัตต์นี้สามารถชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าได้ทุกแบรนด์ ทั้งนี้รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้าแบบปลั๊กอินไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ ในระยะแนะนำบริการจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าดังกล่าว เชลล์เปิดให้บริการสำหรับลูกค้าโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ก่อนนำเสนออัตราค่าบริการที่เหมาะสมในระยะต่อไป
