ส่องตลาดบะหมี่ฯ ต้องแซ่บเบอร์ไหน!!! ถึงจะสะใจผู้บริโภค
ตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จ สินค้าที่เป็นเสมือนดัชนีชี้วัดภาวะเศรษฐกิจในประเทศได้เป็นอย่างดี ปัจจุบันคาดการณืว่ามูลค่าน่าจะอยู่ที่ประมาณ 1.6-1.7 หมื่นล้านบาท การเติบโตอยู่ในระดับที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินต่อเนื่องมาหลายปี โดยในปีที่ผ่านมาเติบโต 4% เหตุผลส่วนใหญ่น่าจะเป็นเพราะปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจเป็นหลักรวมทั้งคู่แข่งจากแบรนด์เกาหลีที่เข้ามาตีตลาดบ้านเราและมีเสียงตอบรับเป็นอย่างดี
เจ้าตลาด 3 แบรนด์ใหญ่อย่าง มาม่า ที่ครองความเป็นผู้นำชนิดม้วนเดียวจบด้วยส่วนแบ่งตลาด 48% ไวไว 23% และยำยำ รั้งอันดับสามด้วยส่วนแบ่งราว 22% สูสีคู่คี่มากับไวไวชนิดหายใจรดต้นคอ
เมื่อตลาดรวมไม่โต การทำตลาดแบบเดิมๆ คงจะไม่เป็นผลดีเพราะพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคที่เอาใจยากเช่นทุกวันนี้ด้วยช้อยท์ให้เลือกมากมายและพร้อมที่จะเปลี่ยนใจได้ตลอดเวลาหากมีสิ่งที่ดีกว่าเข้ามา ดังนั้น โจทย์ข้อใหญ่ของแต่ละแบรยด์คือ การรักษาฐานลูกค้าเก่าและขณะเดียวกันก็ต้องเร่งหาลูกค้าใหม่ด้วย
กลยุทธ์การออกสินค้ารสชาติใหม่ ถือเป็นหมากสำคัญของผู้ประกอบการในตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรวมทั้งธุรกิจอื่นๆ ด้วยเช่นกัน เนื่องจากลูกค้ามักจะชื่นชอบและลิ้มลองสินค้าใหม่ๆ การออกสินค้าใหม่จึงเป็นหนึ่งกลยุทธ์ที่ทุกแบรนด์ต้องนำมาใช้
ดังเช่น แบรนด์ผู้นำอย่าง มาม่า ที่ล่าสุดเปิดตัว “มาม่าเส้นเล็ก รสเล้งแซบ” ชนิดถ้วย หวังรองรับความนิยมของผู้บริโภคที่นิยมกินเล้ง ซึ่งคือต้มซุปกระดูกหมูรสแซบ
ขณะที่แบรนด์รอง อย่าง “ไวไว” ที่แม้ว่าจะวัดระดับความ “แซ่บ” มีไม่มากเท่าผู้นำตลาด แต่ก็พยายามสู้ทุกวิถีทางเพื่อสร้างความแตกต่างชนิดที่ค่ายผู้นำไม่มี ยกตัวอย่างเช่น ต้มยำพริกเผา ต้มยำมันกุ้ง ต้มโคล้ง หมูสับต้มยำ เป็นต้น
ล่าสุด “ไวไว” ที่ต้องปรับกลยุทธ์สร้างความหลากหลายของตัวสินค้าเพื่อกระตุ้นให้ตลาดกลับมาเติบโต ซึ่งในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาได้ทำตลาดผงปรุงรสแบรนด์ “รสเด็ด” มาแล้วแต่ยังไม่ได้ทำการตลาดมากนัก แต่ในปี 2562 จะรุกตลาดเครื่องปรุงรส “รสเด็ด” มากขึ้น โดยจะหันมาเน้นในช่องทางเทรดิชันนัลเทรดซึ่งมียอดขายดีกว่า เนื่องจากพ่อค้าแม่ค้าเป็นกลุ่มที่ไปซื้อมาปรุงอาหาร อีกทั้งแบรนด์เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น โดยตั้งเป้าหมายยอดขายรสเด็ดไว้ 500 ล้านบาท
นอกจากนี้ ไวไว ยังได้มองเห็นโอกาสในการสร้างแบรนด์ไปยังกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ให้มากขึ้น เพื่อให้แบรนด์ทันสมัยจึงเปิดตัวแคมเปญ “ทำวันนี้ ทำไวไว” โดยเลือกใช้กลยุทธ์มิวสิกมาร์เกตติ้งเข้ามาช่วย โดยให้ “บอย-ถกลเกียรติ โกสิยพงษ์” เป็นผู้แต่งเพลง ผ่านการถ่ายทอดจากนักร้องคือ “ปู-พงษ์สิทธิ์ คำภีร์” และวง ROOM39 พร้อมกับเปิดตัวผลิตภัณฑ์ 3 รสชาติใหม่ คือ ไวไว รสต้มยำกุ้งน้ำข้น สูตรพริกเผาชนิดชาม, ไวไว รสหมูสับ โฉมใหม่ และไวไวรสต้มยำ สูตรดั้งเดิม ภายใต้งบตลาดที่ไวไวใส่ไปถึง 50 ล้านบาท
เมื่อผู้นำ และรองผู้นำโหมโรงกันขนาดนี้ ยำยำ ในฐานะผู้ท้าชิงอันดับ 3 ในตลาดได้เวลาออกโรงหลังจากเก็บตัวเงียบมากว่า 2 ปี ด้วยการเลือกปัดฝุ่นสินค้าเรือธงอย่างยำยำ จัมโบ้ รสต้มยำกุ้ง สูตรใหม่ ชิงแชร์ตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป มาครั้งนี้เพิ่มความแซ่บด้วยการคว้านางเอกดังอย่าง ปู ไปรยา เป็นพรีเซ็นเตอร์
การกลับมาครั้งนี้ของยำยำ ที่อยู่คู่คนไทยมากว่า 45 ปี มีความมั่นใจว่าจะสามารถได้ใจผู้บริโภคคนไทยที่ชื่นชอบความแซ่บได้เป็นอย่างดีเพราะได้นำนวัตกรรมใหม่ล่าสุดมาใช้ในการกระบวนการผลิตโดยการนำกุ้งแท้ๆ มาเป็นส่วนผสมในการผลิตน้ำมันเครื่องปรุงเพื่อให้ได้รสชาติที่เข้มข้นขึ้นและเป็นการเพิ่มมูลค่าสินค้าสำหรับผู้บริโภคอีกด้วย
ปัจจุบัน ยำยำ มีส่วนแบ่งราว 22-23% คาดว่าการเปิดตัวสินค้าใหม่ในครั้งนี้จะสามารถเพิ่มส่วนแบ่งให้กับยำยำในปีหน้าเพิ่มเป็น 27% ในปี 2562 หลังจากที่ยำยำเคยคว้าส่วนแบ่งมาครองสูงสุดที่ 25% เมื่อปี 2013
กลยุทธ์ของยำยำปีนี้ ประกอบด้วย 5A ได้แก่
Affordable ราคาจับต้องได้
Available หาซื้อได้ง่าย
Applicable ความอร่อย
Acceptable ช่วยเหลือและเป็นที่ยอมรับของสังคม
Attractive มอบคุณค่าที่น่าสนใจสำหรับผู้บริโภค
ทั้งนี้ ยำยำยอมรับจุดอ่อนของแบรนด์ในเรื่องความอร่อยที่ยังไม่ค่อยแซ่บเท่าที่ควร จึงเป็นที่มาของผลิตภัณฑ์ใหม่ในครั้งนี้ ซึ่งบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสเผ็ดมีส่วนแบ่งการตลาดที่ใหญ่ที่สุดคือมากกว่า 50% เพราะรสเผ็ดเป็นรสที่คนไทยชื่นชอบและคุ้นเคย
อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารยำยำ เทซึโอะ ซูซูกิ ประธานกรรมการ บริษัท วันไทยอุตสาหกรรมการอาหาร จำกัด ผู้ผลิตบะหมี่บะหมี่กึ่งสำเร็ตรูปตรา ยำยำ มั่นใจว่าตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยังไม่ถึงจุดอิ่มตัวแต่อย่างใด เพราะขนาดตลาดไม่ได้หายไปมากนัก เห็นได้จากปีนี้ที่คาดว่าจะโตประมาณ 3.9% ขณะที่ปี 2017 ตลาดรวมโต 4.5% ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับตลาดขนมขบเคี้ยว(สแน็ค) ที่มีมูลค่า 35,182 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมาเติบโต 6%
ซึ่งการที่ตลาดจะโตหรือไม่โตนั้น ในฐานะผู้ผลิตก็ต้องออกสินค้าใหม่ที่โดนใจผู้บริโภค เพราะความแปลกใหม่เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยดึงดูดผู้บริโภคในยุคนี้ได้เป็นอย่างดี
คงต้องตามลุ้นกันต่อว่า สงครามบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ทุกแบรนด์ต่างพร้อมใจกันล้อนรสชาติแบบแซ่บๆ แบรนด์ไหนจะชนะใจคนไทย แต่ที่แน่ๆ คาดว่าน่าจะรสชาติเผ็ดร้อนอื่นๆ ตามมาอีกแน่นอน