ไทยเคยเป็นและยังคงเป็นจุดหมายของผู้ที่ต้องการมาพักกักตัวเพื่อรักษาไวรัสโควิด-19 เนื่องจากชื่อเสียงด้านสาธารณสุขของเราได้รับการชื่นชมอย่างมากในช่วงที่ทั้งโลกกำลังเผชิญกับวิกฤตการแพร่ระบาด
ประมาณ 100 วันที่เราเคยช่วยกันนับสร้างสถิติไม่มีผู้ติดเชื้อในประเทศ ซึ่งทำให้มหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาได้แต่มองตาปริบๆ กับตัวเลขผู้ติดเชื้อซึ่งต่างกันราวฟ้ากับเหว
สถานภาพด้านความปลอดภัยของเราเข้าขั้นเนื้อหอมเลยนะครับ หากยังจำกันได้ว่ามีความพยายามจากกองทัพต่างชาติติดต่อขอเข้ามาฝึกในประเทศไทยอยู่เรื่อยๆเพื่อหอบทหารของเขาหนีการระบาด
ซึ่งที่ผ่านมาอาจเรียกได้ว่าเป็น “บุญเก่า” ที่สะสมมาส่งผลให้ธุรกิจ Altternative State Quarantine ยังคงได้รับความนิยมมาถึงปัจจุบัน
แต่ในอีกมุมหนึ่ง ความสำเร็จด้านสาธารณสุขอาจทำให้คนไทยหลงระเริง จนค่อยๆลืมไปว่าครั้งหนึ่งซึ่งไม่นานมานี้เราเพิ่งเจ็บปวดกับการถูกบังคับให้ออกจากงาน สถานบริการหลายแห่งต้องปิดจากมาตรการล็อคดาวน์ หลายคนยังคงตกงาน หรือเปลี่ยนอาชีพไปทำอย่างอื่นแล้ว ฯลฯ
แต่สำหรับคนที่ช่วงเวลานั้นต้องทรมานจากปัญหารุมเร้าโดยไม่รู้ว่าจะหาเงินจากไหนมาซื้ออาหารให้ครอบครัวได้รับประทาน ผมเชื่อว่ามันคือประสบการณ์ที่ไม่อยากกลับไปสัมผัสอีกแล้วในชีวิต

2 เดือนที่ผ่านมา ตัวเลขการพบผู้ติดเชื้อเกือบทั้งหมดเดินทางมาจากต่างประเทศ และเป็นจำนวนที่พอรับได้ แม้บางคนจะตั้งข้อสังเกตมานานแล้วว่าตัวเลขอาจถูกบิดเบือนเพื่อไม่ให้ประชาชนวิตก จนกระทั่งปลายเดือน พ.ย. มีผู้ติดเชื้อข้ามมาจากท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ปรากฏว่าตัวเลขที่ทางกรมควบคุมโรครายงานในแต่ละวันเริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ
ที่น่ากังวลกว่าก็คือ มีผู้ติดเชื้อในกทม. แล้ว 8 ราย โดย 3 รายมีความเชื่อมโยงกับท่าขี้เหล็กที่เหลืออีก 5 คน เป็นบุคลากรทางการแพทย์
ระหว่างที่ยังไม่รู้ว่าเป็น Super Spreader หรือไม่ ก็มีข่าวว่าการจัดงานคอนเสิร์ตบิ๊กเมาเท่นที่เขาใหญ่ ถูกร้องเรียนอย่างมากโดยเฉพาะมาตรการควบคุมที่หละหลวมเป็นอย่างมาก ไม่สามารถจำกัดจำนวนคน และควบคุมการสวมหน้ากาก รวมถึงมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมได้
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า การจัดงานในคืนวันที่ 12 ธ.ค. ที่ผ่านมา ได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปติดตามกำกับ พบว่า ผู้เข้าร่วมงานหนาแน่น และแอดอัด โดยเฉพาะจุดเสี่ยงคือหน้าเวที บางคนไม่สวมหน้ากาก ทางสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา จึงเข้าไปตักเตือนขอให้แก้ไข เพราะมีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
แต่พบว่าผู้จัดงานไม่ทำการแก้ไข สาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา จึงเสนอผู้ว่าราชการจังหวัดออกคำสั่งยุติคอนเสิร์ตในคืนวันที่ 13 ธ.ค.ทันที
นอกจากนั้นยังมีข่าวลือด้วยว่า ภายในงานคอนเสิร์ตมีผู้ติดโควิดเข้ามาร่วมชมด้วย ซึ่งการปล่อยข่าวออกมาลักษณะนี้หมายความว่า คนที่ไปชมคอนเสิร์ตเองก็เห็นว่าบรรยากาศภายในงานบิ๊กเมาเท่นเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดเชื้อจริงๆ เพราะหากเป็นข่าวลือก็ต้องมีผู้ออกมาแชร์ภาพและข้อความโต้แย้งบนโลกโซเชียลบ้าง
กรณีบิ๊กเมาน์เท่น จึงไม่แตกต่างจากท่าขี้เหล็ก ที่จิตสำนึกเพื่อส่วนรวมถูกมองข้ามไป เพียงเพราะแค่คึกคะนองและประมาทกับสถานการณ์การแพร่ระบาด ทั้งๆที่ทราบดีว่าสาเหตุที่มีผู้ติดเชื้อในสหรัฐอเมริกามีจำนวนมากที่สุดในโลกส่วนหนึ่งงมาจากคนอเมริกันไม่นิยมใส่หน้ากากอนามัย

ผู้ที่ลักลอบข้ามชายแดนไทย-เมียนมา จากท่าขี้เหล็ก ก็ไม่แตกต่างจากทหารอียิปต์ที่ติดเชื้อโควิดเข้ามาไทยแล้วไม่ยอมรับการตรวจหาเชื้อ เพราะมีพื้นฐานคือไม่เคารพกฎกติกาการอยู่ร่วมกันในสังคม
ทหารอียิปต์ที่คิดว่าตัวเองเป็น “อภิสิทธิชน” ไม่แตกต่างจากทหารสหรัฐที่รัฐบาลไทยอนุญาตให้เข้ามาฝึกในประเทศไทยได้โดยไม่ต้องกักตัว
ซึ่งทุกกรณีที่กล่าวมานั้นหากปราศจากกระแสสังคมที่กดดัน ก็จะเป็นเหมือนเหตุการณ์ต่างๆที่รัฐบาลสั่งให้ประชาชนการ์ดอย่าตก แต่กลับทำตรงกันข้ามเสียเอง เมื่อเรื่องแดงขึ้นมาก็มทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น รอให้เรื่องเงียบหายไปเอง
ปัญหาที่น่ากลัวของไวรัสโควิดในตอนนี้ไม่ใช่เรื่องการระบาดที่แพร่ไปทั่วโลกอย่างรวดเร็วนะครับ แต่น่ากลัวเพราะเป็นไวรัสที่กลายพันธ์ได้และยังไม่มีวัคซีนรักษาให้หายต่างหาก
ปัญหาที่เกิดในสังคมไทยก็เช่นเดียวกันครับ ไม่ได้เป็นเพราะประเทศไม่น่าอยู่ ไม่พัฒนา สวยงามเหมือนยุโรป แต่เป็นเพราะสำนึกบางอย่างของคนไทยมันหายไปต่างหาก
Post Views:
719
Like this:
Like Loading...
Related