Biznews

‘บิน 4 ชม.เหมือน 3 วัน’ สจ๊วตหนุ่มเล่าประสบการณ์เที่ยวบินระทึกเยือนปักกิ่ง

จากสถานการณ์โรคระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019 ในเมืองอู่ฮั่น ซึ่งทำให้รัฐบาลจีนประกาศปิดเมืองอู่ฮั่นห้ามผู้คนเดินทางออกนอกเมือง โดยทางกระทรวงสาธารณสุข ได้จัดระบบเฝ้าระวังและสนามบิน ทุกเที่ยวบินมีมาตรการตรวจสอบคัดกรองอย่างเข้มงวด

 

ผู้ใช้เฟซบุ๊ก “Phing-an Saelong” พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน ได้ออกมาโพสต์เล่าประสบการณ์ในการรับมือต้องเดินทางไปยังประเทศจีน ในช่วงที่ไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ กำลังระบาดอย่างหนัก โดยผู้โพสต์ได้ระบุข้อความว่า

“และแล้ววันแห่งการทำสงครามไวรัสก็มาถึง หลังจากการสวดมนต์ไหว้พระมูเตลู ขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้การเดินทางครั้งนี้แคล้วคลาด และเทพเจ้าที่ผิงอันได้เลือกบูชาเป็นพิเศษคงไม่พ้นเจ้าแม่กวนอิม และองค์เทพนาจา โดยเพิ่มดีกรีความขลังด้วยการขอพรเป็นภาษาจีน โดยใจความคือขออย่าให้เครื่องมีปัญหาจนต้องลงค้างที่ปักกิ่ง และขอให้เดินทางกลับมาอย่างปลอดภัยสมชื่อของผิงอัน การเตรียมตัวเรื่องป้องกันการรับเชื้อไวรัสไม่ต้องพูดถึง ทั้งถุงมือ สเปรย์ฆ่าเชื้อโรค แอลกอฮอล์ล้างมือ หน้ากากอนามัย ชุดลำลองเพื่อเปลี่ยนทันทีหลังลงจากเครื่อง ทั้งหมดนี้ได้ถูกบรรจุไว้ในกระเป๋าคู่กายและรวบรวมลมปราณเฮือกใหญ่ก่อนตัดสินใจก้าวออกไปยังสมรภูมิ หลังจากที่เข้าห้องบรีฟเพื่อรับข้อมูลการบิน ข่าวว่าไวรัสโคโรนาที่ว่าช็อกโลกแล้วยังไม่พอ ข้อมูลที่เพิ่มเข้ามาอีกคือที่จีนตอนนี้เกิดโรคอหิวาต์ระบาดในสุกร ส่งผลให้อาหารที่ทำจากหมูทั้งหมดถูกยกเลิก ในใจก็พลอยคิดว่าอะไรจะต้องมาประดังประเดอัดแน่นในช่วงนี้ด้วย นี่ว่าช็อกแล้วยังมีเรื่องตกใจกว่านั้นคือได้มีผู้โดยสารที่ตกค้างจากไฟลต์ก่อนหน้า และผู้โดยสารที่ถูกกักตัวเดินทางกลับไฟลต์นี้ด้วย ส่งผลให้จำนวนผู้โดยสารไม่ถึงครึ่งจากทีแรกได้เพิ่มมาเป็นแน่นลำในชั่วเวลาเพียงพริบตา

ถึงเวลาที่ต้องเริ่มปฏิบัติหน้าที่เมื่อรถขนส่งผู้โดยสารจากอาคารมาถึงเครื่องบิน เหล่าบรรดาลูกเรือทุกคนต่างหาเครื่องปกป้องตัวเองเท่าที่จะหาได้นำโดยหน้ากากอนามัยและถุงมือ เมื่อผู้โดยสารเริ่มทะยอยขึ้นมาก็พลอยทำให้เหล่าลูกเรือใจชื้นขึ้นมาบ้าง เพราะจำนวน 98 เปอร์เซ็นต์ของผู้โดยสารสวมหน้ากากอนามัย แต่ถึงอย่างนั้นในใจอีกส่วนก็อดคิดไม่ได้ว่าหน้ากากนี้จะป้องกันได้จริงหรือไม่ แต่ถึงอย่างไรมันก็น่าจะดีกว่าที่เราไม่ทำอะไรเลย การใส่หน้ากากอนามัยเป็นไปอย่างทุลักทุเลเพราะลูกเรือแต่ละคนต่างไม่คุ้นชิน บ้างก็บ่นว่าหายใจไม่ออกหรือบ้างก็บ่นว่าหายใจไม่ทัน ส่วนผิงอันนั้นนี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่จะใส่หน้ากากยาวนานถึง 12 ชม. แต่โชคดีที่เป็นคนออกกำลังกายสม่ำเสมอโดยเฉพาะการฝึกวิ่งในระยะยาว ส่งผลให้การหายใจในหน้ากากไม่เป็นที่ลำบากมากนักเนื่องจากการทำงานของปอดค่อนข้างดี วันนี้ผิงอันรับหน้าที่เป็นผู้จัดการประจำครัว จึงออกกฎประจำครัวแก่เพื่อนร่วมงานเลยว่า 1. ห้ามใครในที่นี้ถอดถุงมือหรือหน้ากากเด็ดขาด จนกว่าจะกลับมาถึงกรุงเทพ 2. ห้ามใครในครัวนี้ดื่มน้ำจากขวดหรือจากแก้วที่มีอุณหภูมิเย็น นั่นหมายถึงต้องดื่มน้ำร้อนเท่านั้น 3. ผิงอันจะตั้งนาฬิกาปลุกทุกๆ 30 นาที เมื่อสัญญานดังขึ้นทุกคนต้องล้างมือและเปลี่ยนถุงมือคู่ใหม่ทันที 4. ห้ามสัมผัสตา ปาก และหูโดยเด็ดขาด ถ้าจำเป็นจริงๆให้ล้างมือก่อนและทุกย่างก้าวต้องมีสติ ห้ามเผลอ ทั้งหมดนี้เป็นพันธสัญญาร่วมกันระหว่างครัวเรา

การปฏิบัติงานผ่านไปด้วยดี แต่ไม่หมดซะทีเดียว เพราะมีผู้โดยสารบางกลุ่มขออัปเกรดตัวเองจากชั้นประหยัดขึ้นมายังชั้นธุรกิจ โดยให้เหตุผลว่าไม่อยากอยู่ในที่แออัด อัตราการอัพเกรดอยู่ที่ท่านละ 12,000 บาทต่อท่าน และไฟล์ทนี้ได้มีผู้ยอมจ่ายเงินเพื่อความปลอดภัยตัวเองถึง 4 คน โดยที่มีผิงอันคอยประคบทุกกระบวนการเจรจาเนื่องจากเป็นลูกเรือจีนคนเดียวในไฟลต์ เวลาผ่านไปจนเครื่องถึงกรุงปักกิ่ง เหล่าบรรดาเจ้าหน้าที่ขึ้นมาทำความสะอาดพร้อมบรรดาหน้ากากและถุงมือเพื่อป้องกันไวรัสกันอย่างเต็มกำลัง พลันนึกขึ้นได้ว่ารัฐบาลจีนได้เข้มงวดและกระจายข้อมูลแก่ประชากรในประเทศได้ดีมากถึงมาตรการการป้องกันต่างๆ แต่ถึงกระนั้นผิงอันได้ออกกฎเพิ่มในครัวตัวเองอีกว่า หากไม่จำเป็นจริงๆ อย่าได้ทานอาหารที่ขึ้นจากปักกิ่ง เพราะเราไม่ทราบเลยว่าจะมีสารอะไรเจือปนหรือไม่ รวมถึงน้ำดื่มและนมทุกชนิดที่ขี้นจากที่นี่ก็ควรหลีกเลี่ยง จากกฎ 5 ข้อที่ผิงอันได้ตั้งขึ้น เพื่อนๆ และพี่ๆ ในครัวได้ยินดีปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ที่ยวบินขากลับเป็นเวลา 4 ชั่วโมง 55 นาที แต่ความรู้สึกของผิงอันเหมือนราวกับว่าไฟลต์นี้บินมาแล้ว 3 วัน ยิ่งนั่งดูเวลาก็ยิ่งทำให้เวลาเดินช้าลงเรื่อยๆ ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์จากห้องนักบินได้ดังขึ้นเพื่อเรียกผิงอันเข้าไปเจรจา เมื่อเข้าไปถึงนักบินได้ถามผิงอันว่า

นักบิน : พี่ต้องตั้งสนามบินสำรองไว้เผื่อต้องลงฉุกเฉิน ตอนนี้มีสนามบินอู่ฮั่นที่ใกล้ที่สุด แต่ผมจะไม่ลงที่นี่ ถ้าเราไปลงที่ฉางชาได้มั้ย

ผิงอัน : อ่อม พี่ครับ ถ้าลงฉางชานี่คือเหมือนเราตีฝ่าวงล้อมข้าศึก แล้วไปหยุดอยู่ใจกลางข้าศึกเลยนะครับ มีที่อื่นมั้ยครับ

นักบิน : ถัดไปเป็นกวางเจา

ผิงอัน : อ่อม ตอนนี้ไวรัสก็ลามไปถึงกวางเจาละครับ ผมเชื่อว่าพี่จะพาผมกลับกรุงเทพฯ โดยไม่ต้องแวะที่ไหนครับ ผมไหว้พระมาแล้ว

หลังจากที่ได้เจรจาเสร็จแล้วยิ่งทำให้ใจจากที่ร้าวรานอยู่แล้วกลับร้อนรุ่มเพิ่มขี้นอีก แต่ผลสุดท้ายก็มาถึงแผ่นดินมาตุภูมิได้อย่างปลอดภัย

ภาพในหัวคิดต่อมาว่าเมื่อเราถึงแล้วจะมีเจ้าหน้าที่ใส่ชุดสีขาวอวกาศ ถือน้ำยาฆ่าเชื้อมาพ่นให้ทุกคนที่ลงจากเครื่องเพื่อป้องกันด่านแรกโดยไม่ให้เชื้อเข้าไปยังอาคาร แต่ของจริงที่ได้รับคือไม่มีการป้องกันใดๆ เลย โดยปล่อยให้ผู้โดยสารเดินเข้าตัวอาคารเพียงหวังว่าจะใช้เครื่องตรวจอุณหภูมิเป็นตัวคัดกรอง แต่หารู้ไม่ว่าเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าใครมีเชื้อบ้างเพราะเชื้อจะถูกฟักตัวถึง 2 สัปดาห์ถึงจะเริ่มแสดงอาการ เพราะฉะนั้น หนึ่งในผู้โดยสารในเที่ยวบินนี้อาจจะมีคนที่มีเชื้ออยู่แล้วก็ได้ ก่อนที่จะลงจากเครื่องผิงอันยังออกกฎเพิ่มว่าให้เหล่าบรรดาแอร์สารถอดอาภรณ์ชุดไทยออกและใส่ถุงพลาสติกแยกไว้ อย่านำไปรวมกับเสื้อผ้าชิ้นอื่น เมื่อถึงอาคารแล้วให้รีบส่งซักฆ่าเชื้อทันที

เมื่อผิงอันมาถึงตัวอาคารก็รีบนำเสื้อผ้าส่งซักฆ่าเชื้อและเปลี่ยนจากชุดทำงานเป็นชุดที่เตรียมมาทันที เพราะเราไม่รู้เลยว่ามีเชื้อหรือไวรัสอะไรบ้างติดตามเสื้อผ้า มากไปกว่านั้นผิงอันได้จัดการอาบน้ำที่ตึกก่อนที่จะกลับเข้าบ้านอีกด้วย เพราะที่บ้านเรามีคนที่เรารักและรักเรารออยู่ หากตัวเรามีเชื้อรับรองได้ว่าในบ้านคงรับเชื้อไปด้วย อยากฝากให้คนทุกคนตระหนักถึงภัยร้ายของไวรัสตัวนี้ เพราะถ้าหากใครได้รับเชื้อแล้วและยังไม่สามารถหายารักษาได้ในช่วงนี้รับรองว่าจะจากไปอย่างทรมาน หน้ากากอนามัยช่วยได้ ถุงมือกันเชื้อโรคช่วยได้ การกินของปรุงสุกและดื่มน้ำร้อนช่วยได้ ขอให้ทุกพื้นที่มีแต่ผิงอัน เพราะผิงอันแปลว่าสงบสุข”

Related Articles

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Back to top button
X
%d bloggers like this: