Columnist

ละครฆาตกรรมของอาชญากร “พฤติกรรมศาสตร์” คดี  American Murder

ภาพคนหายถูกประกาศและแจกจ่ายไปทั่วรัฐโคโลราโด สหรัฐอเมริกา เพื่อตามหา “แชนนอน วัตต์ส” ซี่งกำลังตั้งครรภ์ 15 สัปดาห์ พร้อมด้วยลูกสาวอีก 2 คน คือ เบลล่า (อายุ 4 ปี) และ ซีเลสต์ (อายุ 3 ปี) เมื่อวันที่ 13 ส.ค. 2018  

คริสโตเฟอร์ วัตต์ ผู้เป็นสามีและพ่อของเด็กๆ ออกรายการโทรทัศน์ให้สัมภาษณ์ด้วยน้ำเสียงและท่าทางที่โศกเศร้าเป็นกังวลเหมือนคนหัวใจสลาย โดยอ้อนวอนให้พวกเธอกลับมาหาเขาอย่างปลอดภัย”แชนนอน เบลล่า ซีเลสต์ ถ้าอยู่ข้างนอกนั่นแค่กลับมาเถอะ ถ้าใครพบพวกเธอ โปรดพาพวกเธอกลับมา ผมอยากเจอทุกๆคน ผมอยากเจอพวกเธออีกครั้ง บ้านนี้จะไม่สมบูรณ์เมื่อพวกเธอไม่อยู่ที่นี่”

2 วันต่อมา (15  ส.ค.) ตำรวจพบภาพและข้อความที่สามารถบอกได้ทันทีว่าคริสกำลังมีชู้ นอกจากนั้นเมื่อคริสเข้าเครื่องจับเท็จผลที่ออกมาก็ไม่ผ่าน แค่ข้อมูลเพียงเท่านี้คริสยอมสารภาพทันทีว่าเขาฆ่าภรรยาและฝังไว้ในหลุมศพใกล้กับสถานีน้ำมัน แต่ปฏิเสธว่าไม่ได้ฆ่าลูกๆของเขา และกล่าวว่าแชนนอนเป็นคนลงมือ

แค่ 2 วันเท่านั้น คริสถูกจับและตั้งข้อหาเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมภรรยาทันที ก่อนจะถูกตั้งข้อหาในคดีฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และปิดบังซ่อนเร้นศพ

 

Chris Watts looks down during his bond hearing on Thursday at the Weld County Courthouse in Greeley. Joshua Polson/jpolson@greeleytribune.com

นี่คือคดีอาชญากรรมที่สะเทีอนขวัญที่สุดครั้งหนึ่งในสหรัฐฯ เป็นเรื่องจริงที่ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง “American Murder” ฆาตกรผู้ไร้ความปราณีที่ประวัติศาสตร์ยังต้องจารึก

ข่าวฆาตกรรม “น้องชมพู่” หลังจากตำรวจใช้เวลาสืบสวนหาหลักฐานมานานกว่า 1 ปี จนในที่สุดก็ออกหมายจับนายไชย์พล ซึ่งเป็นญาติกับครอบครัวผู้ตาย จากชาวบ้านที่ถูกสื่อมวลชนยัดเยียดความผิดเพี้ยนทางจริยธรรม เฝ้านำเสนอแบบเรียลริตี้ ปั้นผู้ต้องสงสัยจากชาวบ้านให้กลายเป็นคนมีเสียงแล้วผันตัวเป็นเซเล็บรับงานโฆษณาและบันเทิงจนร่ำรวย

ความถ่อมตัว น่าสงสาร แววตาท่าทางที่เหมือนคนไร้พิษภัยทุกครั้งที่ออกสื่อ ของนายไชย์พล เมื่อปีที่แล้ว กับคนที่เดินทางไปสโมสรตำรวจในวันแถลงนโยบาย เปิดตัว ผบ.ตร. แม้กระทั่งกิริยาท่างทางในขณะเข้ามอบตัวที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติล่าสุด จนถึงการตะโกนร้องเพลงในห้องขัง

ภายในเวลา 1 ปีที่ผ่านมา จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่านายไชย์พลไม่เพียงเปลี่ยนไป แต่ยังแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ขึ้นอยู่กับคนมองว่าหรือตัวตนปัจจุบัน เป็นสันดานเเดิมของนายไชย์พลที่แสดงออกมาหลังจากต้องเล่นละครเป็นพระเอกมานานหรือไม่

คดีฆาตกรรม 2 เคส ต่างสถานที่ ต่างวันเวลา แต่สามารถนำทฤษฎีอาชญวิทยาและพฤติกรรมศาสตร์ การก่อเหตุของคนร้ายมาวิเคราะห์ ไม่ใช่เป็นการนำ 2 คดีมาเปรียบเทียบให้เห็นพฤติกรรมและวิธีสังหารเหยื่อเท่านั้น แต่ยังสามารถวิเคราะห์แนวโน้มลักษณะของฆาตกรที่จะก่อเหตุในอนาคตได้อีกด้วย

ในระหว่างที่เรายังไม่รู้ว่าความเลือดเย็นตอนฆ่าเด็กใครโหดกว่ากัน ผมจะขอเล่าถึง “คริส วัตต์ส” ซึ่งปิดคดีไปแล้วและอยู่ระหว่างการถูกคุมขังในเรือนจำ

แรงจูงใจในการฆ่าเกิดขึ้นจากการที่คริสกำลังแอบสานต่อความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน หรือพูดง่ายๆว่ากำลังนอกใจภรรยา โดยบอกกับแฟนสาวคนว่าอยู่ระหว่างแยกทางกันและใช้เวลาส่วนใหญ่กับเธอ ในขณะที่แชนนอนใช้เวลาช่วงฤดูร้อนอยู่กับญาติพี่น้อง ก่อนจะกลับมาพบว่ามีบางอย่างที่กำลังสร้างระยะห่างความสัมพันธ์แบบสามีภรรยา เธอจึงพยายามให้เวลากับสามีมากขึ้นเพื่อรื้อฟื้นความรู้สึก

13 ส.ค. เวลา 01.48 น. กล้องวงจรปิดของเพื่อนบ้านจับภาพขณะที่แชนนอนกลับมาถึงบ้าน และกล้องตัวเดียวกันนี้เผยให้เห็นภาพของคริส ถอยรถเข้าไปยังโรงเก็บรถแล้วยกบางอย่างขึ้นก่อนจะขับออกไป ในช่วงเวลาตี 5 กว่า

ซึ่งเธอกับคริสมีปากเสียงกันและจบลงด้วยเธอที่กำลังตั้งครรภ์ถูกสามีบีบคอจนเสียชีวิต

ก่อนจะตัดสินใจฆ่าแชนนอน คริสเดินเข้าไปห้องนอนของลูกและเอาหมอนกดเพื่อให้ขาดอากาศหายใจจนเสียชีวิตทั้งคู่ แล้วจึงได้ออกมาเอ่ยปากขอหย่ากับภรรยาจนมีปากเสียงทะเลาะกันอย่างรุนแรงเสียงดัง ในระหว่างที่คริสกำลังบีบคอแชนนอนอยู่นั้น ปรากฏว่าลูกสาวคนหนึ่งที่คริสคิดว่าตายไปแล้วเปิดประตูออกมาจากห้องเพราะได้ยินเสียงดัง แล้วเห็นภาพที่คริสกำลังฆ่าแชนนอนจนตายคามือ

คริส ออกจากบ้านในช่วงเช้ามืดโดยหลังรถมีศพแชนนอน ศพลูกสาว 1 คน และลูกสาวที่ยังมีชีวิตอีก 1 คนซึ่งร้องไห้หวาดกลัวอยู่ตลอดเวลา เขาขับไปยังบริษัทซึ่งเป็นบริษัทที่ประกอบกิจการบ่อน้ำมันเพื่อฝังร่างของภรรยา โดยระหว่างที่ขุดหลุมฝังอยู่นั้น คริส เปิดเผยเหตุการณ์ในภายหลังว่าเขาเห็นทารกที่อยู่ในครรภ์ได้ไหลออกมาด้วย

เมื่อฝังศพแชนนอนแล้ว เขาได้ขับรถไปที่บ่อน้ำมันที่เขาทำงานอยู่แล้วเอาศพของลูกสาวโยนลงไปในบ่อ หลังจากนั้นเขาหันกลับมาอุ้มลูกสาวที่ยังมีชีวิตอยู่ โดยเด็กน้อยขอร้องทั้งน้ำตาไม่ให้พ่่อโยนเธอลงไปในบ่อน้ำมัน ซึ่งจากการชันสูตรศพพบว่าภายในปอดของเด็กน้อยคนนี้เต็มไปด้วยน้ำมัน นั่นหมายความว่าเธอจมและสำลักน้ำมันจนเสียชีวิต

สรุปคดี “คริส วัตต์ส” ฆาตกรผู้ก่อเหตุฆ่าล้างครัวตัวเองสะเทือนขวัญสังคมอเมริกา สั้นๆครับ ซึ่งคดีนี้มีรายละเอียดการสืบสวนที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก

เช่น การที่ผู้ต้องหาซึ่งฉลาดและเหมือนวางแผนมาเป็นอย่างดีกลับอำพรางคดีไม่สำเร็จ มีจุดเริ่มต้นคือ ช่วงเที่ยงวันนั้น นายหน้าอสังหาริมทรัพย์ติดต่อมาพูดคุยกับคริสและแชนนอนหลังจากทั้งคู่กำลังมองหาบ้านหลังใหม่ซึ่งรองรับสมาชิกรายใหม่ที่จะลืมตาดูโลกในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า พร้อมทั้งวางแผนว่าจะขายบ้านที่อาศัยอยู่ปัจจุบันด้วย โดยนายหน้าได้ถามถึงแชนนอนว่าทำไมถึงไม่มาพูดคุยด้วย คริสตอบว่าเธอหายไป และเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง

ต่อมาวันเดียวกันนั้นเพื่อร่วมงานของแชนอนติดต่อเธอไม่ได้ หลังจากพยายามโทรศัพท์หลายครั้งจึงตัดสินใจเดินทางมาที่บ้านและเห็นรถของแชนนอนจอดอยู่ เมื่อเคาะประตูบ้านเรียกก็ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ  จึงได้แจ้งตำรวจให้เดินทางมาตรวจสอบ ซึ่งทำให้ตำรวจโทรศัพท์หาคริสที่ทำงานอยู่ให้กลับมาบ้าน

คริสบอกกับตำรวจว่าแชนนอนจะพาลูกๆไปบ้านเพื่อนแต่ไม่ได้บอกว่าเพื่อนคนไหน เพื่อนบ้านจึงเชิญตำรวจและคริสไปดูตรวจดูกล้องวงจรปิด ซึ่งไม่ได้เป็นอย่างที่คริสบอกกับตำรวจว่าแชนนอนออกไปกับลูกๆระหว่างเขากำลังอยู่ที่ทำงาน

ทั้งเพื่อนมาตามที่้บ้านเพราะโทรติดต่อไม่ได้ เคาะบ้านแล้วไม่มีคนตอบรับจึงเรียกตำรวจ กับเพื่อนบ้านที่เชิญให้เข้าไปดูกล้องวงปิดเพื่อตรวจสอบภาพตามที่คริสกล่าวอ้าง ทั้งๆที่บอกกับนายหน้าอสังหาก่อหน้านี้ว่าแชนนอนหายตัวไป การให้ความร่วมมือเป็นพยานและสนับสนุนหลักฐานคดี เป็นเรื่องที่ไม่เกิดขึ้นกับคนไทย เพราะคนไทยจะคิดอย่างเดียวว่า “ธุระไม่ใช่” หรือ “เรื่องครอบครัวของคนอื่นอย่าไปยุ่ง”

กลับมาที่คดีฆาตกรรมน้องชมพู่ จะพบว่ามีบางอย่างของลักษณะคดีคล้ายๆกัน เช่น การออกสื่อ เพื่อให้ตัวเองได้ยืนในแสงไฟสามารถส่งข้อความผ่านการให้สัมภาษณ์เพื่อเบี่ยงเบนประเด็น และทำให้การสืบสวนหาหลักฐานสับสน

และหากพิจารณาคดีแล้ว สาเหตุหลักๆที่ทำให้คดีฆาตกรรมน้องชมพู่ต้องล่าช้าเนื่องจากขาดหลักฐานพยาน ที่เกิดเหตุมีฝนตกอาจทำให้หลักฐานสำคัญบางอย่างหายไป หลักฐานบุคคลซึ่งไม่ยอมให้ปากคำตั้งแต่ช่วงแรกที่เกิดเหตุ

นอกจากนี้ ปัจจัยภายนอกที่ตำรวจไม่ได้คาดคิดมาตั้งแต่แรก แต่กลายเป็นตัวแปรสำคัญที่เข้ามาทำให้การสืบสวนล่าช้า คือการที่สื่อมวลชนเข้าไปปักหลักรายงานชีวิตนายไชย์พล และนำเสนอจนผู้ต้องสงสัยกลายเป็นคนดัง

ไม่มีประเทศไหนในโลกที่สื่อใช้เสรีภาพในการนำเสนอของงตัวเองไปสร้างความยุ่งยากในการสืบคดีอาชญากรรม

ไม่มีสื่อที่ได้มาตรฐานและคุณภาพแม้แต่สำนักเดียวบนโลกนี้ นำเสนอชีวิตผู้ต้องหาโดยไม่สนใจความคืบหน้าคดีอาชญากรรม หรือเมื่อไม่มีความสามารถในการหาแหล่งข่าวข้อมูลของคดีแล้วเปลี่ยนนโยบายจากอาชญากรรมไปเป็นบันเทิง สร้างผู้ต้องสงสัยให้เป็นดารา

ขอย้ำอีกครั้งว่าไม่มีสื่อคุณภาพที่ไหนบนโลกนี้ทำแม้แต่สำนักเดียว ยกเว้นไทย

บทสรุปคดีนี้คือ นายไชย์พลจะถูกตั้งข้อหาว่าเป็นฆาตกรฆ่าน้องชมพู่หรือไม่ …แค่นั้น

ถามว่าการทำงานของสื่อที่ไม่รู้จักวิชาชีพของตัวเอง ได้ทบทวนบทบาทการทำงานที่ผ่านมากว่า 1 ปีหรอืไม่ ดูจากข่าวนายไชย์พลร้องเพลงในห้องขังเสียงดัง แล้วนักข่าวทั้งประเทศรายงานเหมือนกันหมด มันกลายเป็นการเกาะติดเรียลลิตี้ชีวิตไชย์พลเปลี่ยนที่นอนเท่านั้

เมื่อข่าวเดิมถูกนำเสนอโดยคนเดิม ผู้บริหารเดิมๆ นโยบายเดิมๆ การรายงานข่าวมันก็เลยถูกไชย์พลดึงลงไปจูงจมูกที่กลางทุ่งนาเหมือนเดิม

ทั้งๆที่มีทฤษฎีเกี่ยวข้องกับจิตวิทยา การแสดงออกในรูปแบบการร้องเพลง ส่งเสียงดังในสถานที่อื่นซึ่งไม่ใช่บ้านตัวเอง แสดงให้เห็นถึงภาวะทางจิตใจกำลังเป็นอย่างไร บางทฤษฎีตั้งสมมติฐาน นำงานวิจัย รวมทั้งผลการตัดสินคดี มาวิเคราะห์ให้น่าสนใจได้

ช่วงที่ไชย์พลถูกออกหมายจับ มีคนโพสต์ว่าเบื่อและไม่มีประโยชน์ บางคนเปรียบเทียบความสำคัญระหว่างลุงพลกับการอภิปรายงบ และบางคนจินตนาการไปไกลว่าเป็นการออกหมายจับเพื่อกลบข่าวงบประมาณสถาบันธรรมชาติของข่าว

ขอยืนยันตรงนี้ว่า ไม่มีข่าวไหนสามารถปล่อยออกมาเพื่อกลบอีกข่าวได้หรอกครับ หากข่าวนั้นเป็นข่าวที่คนในสังคมเห็นว่าเป็นประโยชน์และใกล้ตัว แม้สื่อจะไม่นำเสนอ แต่ข่าวนั้นก็สามารถมีพื้นที่ในแพลตฟอร์มอื่นๆ เยอะแยะ

และประชาชนในฐานะผูู้รับสามารถเลือกที่จะไม่รับข่าวสารที่การนำเสนอไม่มีประโยชน์ได้

สำหรับบางคนข่าวนายไชย์พลอาจไร้สาระ และไม่คืบหน้ามานานจนเบื่อ

แต่สำหรับสื่อนอกจากจะเป็นโอกาสในการพลิกมุมนำเสนอและได้ค้นคว้าหาความรู้เกี่ยวกับอาชญวิทยากับหลักพฤติกรรมศาสตร์ ซึ่งที่ผ่านมาเป็นเพราะเข้าไม่ถึงตำรวจที่ทำคดี การหาหลักทฤษฎีที่มีอยู่มากมายบนโลกนี้จะทำให้คนดูได้ความรู้ไปด้วย

ผมมั่นใจถ้าสื่อบางแห่งยังเป็นอย่างนี้ คือ ไม่ได้คิดว่าทำข่าวเพื่อสังคม แต่ทำข่าวเพื่อตัวเอง ผลประโยชน์เรื่องเรตติ้งต้องมาก่อน ไม่มีมุมคิดมุมข่าวใดๆทั้งสิ้น ทำข่าวเหมือนกับว่าผู้บริหารสถานีหรือผู้อำนวยการสถานีไม่มีประสบการณ์งานข่าว วิธีการคิดประเด็นยังสู้เด็กนักศึกษาไม่ได้ด้วยซ้ำ ต่อให้ต้องทำข่าวนายไชย์พลอีก 100 ปี สื่อแห่งนั้นก็จะไม่มีทางเปลี่ยนแปลง ทำได้แค่เสนอปรากฏการณ์ว่าวันนี้มีอะไร

การเปรียบเทียบกับคดีคริส วัตต์ส ไม่ได้หมายความว่าผมฟันธงนายไชย์พลเป็นฆาตกรฆ่าน้องชมพู่นะครับ

แต่เทียบเคียงทำให้เห็นว่าพฤติกรรมของผู้ต้องหา ก่อน-หลังก่อเหตุ เป็นอย่างไร โดยเฉพาะคดีความรุนแรงในครอบครัว และเหตุฆาตกรรมเด็ก-เยาวชน ในอนาคตคดีสะเทือนขวัญอาจเกิดขึ้นอีกมากมาย และบางสื่อก็พร้อมจะเดินตามการทำงานของตำรวจจนตามไม่ทันการแสดงของอาชญากร

ทั้งนี้ สังคมจะต้องมีภูมิต้านทานรู้ทันว่าสิ่งที่ผู้ต้องสงสัยกำลังออกสื่ออยู่นั้นเป็นเพียงการให้ข่าวหรือเล่นละครบนเวทีใหญ่รัชดาลัยเธียเตอร์

(บทความโดย: ธนก บังผล)

Related Articles

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Back to top button
X
%d bloggers like this: