รู้จัก วิ่งจงกรม สไตล์ “แอ๊ด คาราบาว”
เอ่ยชื่อ “ยืนยง โอภากุล” หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ แอ๊ด คาราบาว คงไม่มีใครปฏิเสธว่าไม่รู้จักผู้ชายคนนี้ ศิลปินเพลงเพื่อชีวิตชาวไทยเชื้อสายจีน เป็นหัวหน้าวงคาราบาว วงดนตรีเพื่อชีวิตและเป็นตำนานเพลงเพื่อชีวิตที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากในอดีตจนถึงปัจจุบัน และยังได้รับยกย่องให้เป็น ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (นักร้อง-นักประพันธ์เพลงไทยสากล) ประจำปี พ.ศ. 2556
วันนี้ แอ๊ด คาราบาวในวัยกว่า 60 ปี หากใครติดตามข่าวคราวมาตลอดจะทราบเป็นอย่างดีว่าแอ๊ด คาราบาวใช้ชีวิตอย่างสมถะเรียบง่ายและอยู่กับธรรมะมาโดยตลอด โดยเฉพาะการลดละเลิกอบายบุขและหันมาออกกำลังกายอย่างจริงจัง ภายใต้ชื่อ “วิ่งจงกรม”
แอ๊ด คาราบาว เริ่มสนใจวิ่งจงกรมซึ่งต่อยอดมาจากการนั่งสมาธิที่เขาปฏิบัติมาอย่างสม่ำเสมอเมื่อ 1-2 ปีที่แล้วและปฏิบัติต่อเนื่องทุกวันๆ ละ 1 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย ซึ่งแอ๊ดบอกว่าเป็นวิธีการดับทุกข์ในอีกรูปแบบหนึ่งด้วยการนำหลักธรรมมาเป็นที่ตั้งโดยวิ่งไปทำสมาธิไป ทำวิปัสนาไปด้วยซึ่งผู้วิ่งควรมีพื้นฐานจากการทำกรรมฐานมาก่อนจะยิ่งได้ผลเร็วขึ้น
น้าแอ๊ด บอกว่า เรื่องราวนี้มันเกิดขึ้นแบบค่อยๆเป็นค่อยๆไป โดยอ้างอิงคำสอนของหลวงปู่ดุลย์ อตุโล และลูกศิษย์ท่านคือหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมทฺโช ที่แอ๊ดนับถือคำสอนของท่านเป็นแนวทางหลักในการวิ่งจงกรม
โดยวิธีการวิ่งจงกรม คือการปฏิบัติวิปัสนากรรมฐานขั้นเบื้องต้น โดยการผสมผสานการวิ่งเข้ากับการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ประโยชน์ที่จะได้รับคือได้ทั้งการออกกำลังกายในชีวิตประจำวันเเละได้ทำวิปัสสนากรรมฐานไปด้วยในตัว
พื้นฐานที่ท่านจะต้องเตรียมพร้อมก่อนการวิ่งจงกรม มีดังนี้
1. ฝึกทำสมาธิด้วยวิธี อานาปานสติให้ได้สัก10-15นาทีก่อน ทำให้ได้จนชำนาญ
2.ต้องมีความรู้พื้นฐานเรื่อง ขันธ์ 5 (ชีวิตคือนามรูป), ไตรลักษณ์ (ตัวกู ของกู),ไตรสิกขา(ศิล สมาธิ ปัญญา),สมะถะ,วิปัสนา เเละหัวใจของพระพุทธศาสนาอยู่ที่ รู้ทุกข์และดับทุกข์ (ขอเเนะนำให้ฟังหลวงพ่อพุทธทาส เเละหลวงพ่อปราโมทฺ จากยูทูป ฟังให้เข้าใจเรื่องที่ยกมานี้ให้เข้าใจ)
3.ต้องตั้งสติก่อนวิ่งทุกครั้งว่า เรามาปฏิบัติธรรมนะ ไม่ใช่มาฟิตเนสให้หล่อเหลาหรือเเข็งเเรง ไอ้นั่นมันผลพลอยได้ จุดมุ่งหมายของเราคือค้นหาความจริงในตัวเรา ว่าเราเป็นคนอย่างไร เพื่อที่จะดัดเเปลงตนให้เป็นผู้ประเสริฐ(อริยะบุคคล)ตามที่พระตถาคตทรงวางแนวทางเอาไว้ ที่เรียกว่า”พระธรรมวินัย” นั่นก็คือเป็นผู้รู้จักตัวตนอย่างถ่องเเท้ เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานในที่สุด
ขั้นตอนการวิ่งจงกรม
1.เมื่อแต่งตัวเรียบร้อยพร้อมวิ่งเเล้ว ก็ให้วอมส์ร่างกายในท่าที่คุณทำอยู่ปรกติ แต่เพิ่มการตามลมหายใจแบบอานาปานสติไปด้วย จนเสร็จเรียบร้อยก็ออกวิ่ง ด้วยมีสติตามลมหายใจไปตลอด วิ่งไปสักพักคุณจะรู้สึกว่าร่างกายเริ่มมีปฏิกริยาอึดอัดเพราะความเหนื่อยเริ่มเกิด ตอนนี้ลมหายใจคุณจะสับสน จากที่เคยหายใจเข้าออกสบายๆ กลายเป็นว่าอากาศไม่พอ ต้องการการปั๊มอากาศเข้าท้องมากขึ้น คุณจะรู้สึกว่าต้องหายใจถี่ขึ้น หนักขึ้น มันจะเป็นอย่างนี้อยู่พักใหญ่ แล้วการวิ่งกับการหายใจก็จะเริ่มสัมพันธ์เป็นจังหวะคงที่ มันจะเป็นอะไรก็ให้มันเป็นไป เอาที่เราสบายที่สุด เมื่อมันคงที่เเล้วไปต่อ
2.เอาบทเรียนที่หลวงพ่อปราโมทย์ท่านสอนเรา เรื่องวิปัสสนาในรูปแบบมาปฏิบัติในขณะวิ่ง เหมือนเรานั่งหลับตาทำสมาธินั่นเเหละ แต่เราเปลี่ยนเป็นลืมตาวิ่งแทน แต่สติเราอยู่กับการเจริญวิปัสสนา คือเมื่อเราทำอานาปานสติจนจิตตั้งมั่นได้เเล้ว เราก็มาเดินปัญญาโดยดูให้เห็นว่าตัวเรานั้นที่เเท้ไม่มี เป็นเพียงธาตุต่างๆที่ประกอบกันเป็นนามรูป หรือใจกาย ขั้นนี้เรียกว่า”แยกธาตุแยกขันธ์”ดูให้เห็นว่าใจก็ไม่ใช่ของเรา กายก็ไม่ใช่ของเรา เดี๋ยวมันก็เจ็บเดี๋ยวมันก็คิด เเล้วมันก็ดับไป พอมันดับไปเราก็มีสติดึงมันกลับมาอยู่กับฐานหรือสมาธิที่เราตั้งมั่นไว้ตั้งแต่ต้น คืออานาปานสติคือที่การวิ่ง ตอนนี้เราจะเห็นเป็นตัวคนกำลังวิ่ง มีอารมณ์เกิดขึ้นที่ใจที่ขันธ์ตลอด จิตเป็นคนดู ตามดูกายดูใจที่มันแว้บไปคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ อย่าห้ามมันเทคนิคนี้ไม่เป็นสากล แต่เป็นของหลวงพ่อปราโมทย์สอน ให้มันเกิดอารมณ์ต่างๆขึ้นจะเห็นว่ามันเกิดเอง ทั้งที่กายที่ใจที่ขันธ์เราไปบังคับมันไม่ได้ เราแค่ตามรู้ตามดู เดี๋ยวมันจางลงเราก็กลับมาอยู่ที่ฐาน บทเรียนก็จะเกิดขึ้นเป็นบทๆไป เช่นเกิดที่กาย เจ็บเข่าเราก็รูว่าไอ้คนนี้มันเจ็บเข่าหนอ และมันก็เกิดขึ้นเองเพราะมันอาจจะเเก่เเล้ว หรือวิ่งเร็วเกินไป พอมันวิ่งช้าลงนิด เออดีขึ้น ไม่เจ็บเเล้ว เกิดขึ้นดับไปเราก็มองออกให้เห็นเป็นอาการของไตรลักษณ์คือ เกิดดับของมันเอง บีบคั้นเรา และไปบังคับมันไม่ได้ (อนิจจังทุกขังอนัตตา) ที่ใจก็เหมือนกัน เช่นวิ่งๆไปเจอผู้หญิงสวย ใจทำงานเลย ขันธ์แปรปรวนเลย เกิดกิเลสขึ้นในใจแล้ว แหมอยากรู้จักจัง ทำไงดีหนอ…..นี่ก็เกิดกิเลสเป็นอกุศลเเล้ว ตามรู้ตามดูเป็นบทเรียนไปเรื่อยๆ วิธีของหลวงพ่อปราโมทย์ถูกต้องที่สุด จิตนั้นมันไม่ใช่แค่คิด มันเป็นสิ่งที่ต้องสอนมัน ต้องฝึกมันถึงจะเชี่ยวชาญ ประหนึ่งนักดนตรีฝึกเครื่องดนตรีจนชำนาญต้องลงไปทำ ไม่ใช่อ่านตำราเเล้วจะเล่นเก่งได้เลย นั่นมันได้แค่คิดฝันไปเท่านั้นครับ อธิบายเช่นนี้คงเห็นได้ชัดนะครับ จิตจึงต้องมีประสพการณ์ตามที่มันเป็นจริง(เป็นไตรลักษณ์)เมื่อเรารู้จักมันดีแล้ว หน้าที่ของเราต่อไปคือเปลี่ยนจิตที่เป็นอกุศลให้เป็นกุศล ตั้งมั่นอยู่ในศิลในธรรมตามที่ตถาคตสั่งสอน เราก็จะกลายเป็นคนใหม่ เป็นหน่อเนื้อพุทธะหรืออริยะบุคคลในอนาคต
และนี่คือวิธีการดับทุกข์ สไตล์แอ๊ด คาราบาว ค้าบพี่น้อง
ขอบคุณข้อมูล จาก add carabao