รัฐบาลกำลังฆ่าตัวตายจากการต่ออายุ ‘พรก.ฉุกเฉิน’

รัฐบาลกำลังฆ่าตัวตายจากการต่ออายุ พรก.ฉุกเฉิน
ธนก บังผล
วิถีชีวิตของคนทั้งประเทศภายใต้การประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน) ของรัฐบาลเพื่อควบคุมการระบาดไวรัสโควิด-19 แม้จะมีคนไม่เห็นด้วยอยู่บ้างในช่วงแรก แต่ก็ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าด้วยความสามารถของบุคลากรทางการแพทย์ และการให้ความร่วมมือกับมาตรการล็อคดาวน์ ทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อในไทยค่อยๆลดลง จนระยะหลังบางวันไม่มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ
แต่ตัวเลขที่บางคนชื่นชมดีใจนั้น กลั่นออกมาจากน้ำตาของประชาชนจำนวนมากที่ได้รับผลกระทบจากการตกงาน และมีไม่น้อยที่สถานประกอบการต้องเลิกกิจการอย่างถาวรลอยแพคนงานท่ามกลางวิกฤตโรคระบาด
จริงอยู่ที่การควบคุมโรคระบาดอุบัติใหม่ร้ายแรงจำเป็นต้องมีค่าใช้จ่ายด้วยความเสียสละของประชาชน ชาวบ้านที่เดือดร้อนอาจจะทำได้แค่บ่นหรือแสดงออกได้เพียงเรียกร้องเงินชดเชย นั่นเป็นเพราะไม่รู้ว่าจะเอาเงินที่ไหนมาซื้ออาหารแต่ละมื้อให้ครอบครัว
ซึ่งผู้มีอำนาจ และยังมีงานทำ ผ่านวิกฤตโรคระบาดนี้มาด้วยความสนุกสนานในกิจกรรมการสั่งอาหารผ่านช่องทางออนไลน์ อย่างไม่รู้ร้อนหนาว ท้องไม่เคยหิวเลยสักมื้อ ย่อมไม่มีทางเข้าใจ
และแม้จะเริ่มมีเสียงบ่นถึงการต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ออกไปอีกจนถึงสิ้นเดือน มิ.ย. พร้อมๆกับมีคนในรัฐบาลรีบออกมาปฏิเสธว่าไม่มีเรื่องการเมืองอยู่เบื้องหลัง ทั้งๆที่ตัวเลขของผู้ติดเชื้อใหม่ของหลายๆวันอยู่ในระดับต่ำกว่า 10 ราย แต่รัฐบาลกลับรีบร้อนลุกลนให้ความสำคัญกับ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก่อนประกาศผ่อนปรนให้สถานประกอบการต่างๆทยอยเปิด
ท่าทีและการเฝ้าระวังสถานการณ์ไม่ให้กลับมาระบาดซ้ำในปัจจุบันที่ควรจะเข้มข้นในเชิงลึก เร่งสร้างความเคยชินให้กับประชาชน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ควรถูกพิจารณาต่ออายุออกไปครั้งละ 14 วัน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนว่าสิ่งที่กวดขันกันมาในวิกฤตกำลังคลี่คลายไปทิศทางที่ดีขึ้น
แต่นี่เปล่าเลยครับ บุญท่วมหัวของคนไทยด้วยซ้ำที่รัฐบาลไม่ประกาศต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เป็นรายปี
ข้อเสียของการดำรงอยู่อย่างไร้อนาคตของ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน สร้างแรงกระเพื่อมใต้น้ำที่รัฐบาลไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และในบางมิติอาจหมายถึงผลกระทบทางการเมืองที่รัฐบาลหวาดกลัวแต่กลับทำมันขึ้นมาเสียเองคือ… “ม็อบขับไล่”
แต่ม็อบชุมนุมขับไล่รัฐบาลนั้นไม่ใช่ประเด็นที่ผมให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกครับ
เพราะการต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เหมือนการประกาศให้สถานประกอบการและกิจการบางอย่างยังคงต้องปิดต่อไป ทำให้ผลกระทบที่ต่อเนื่องคือการตกงานของคนจำนวนมาก
เดือน ธ.ค. 2562 ที่ผ่านมา ไวรัสโควิด-19 ยังไม่แพร่ระบาดมีตัวเลขจำนวนคนไทยว่างงานทั้งหมด 367,000 คน โดยในไตรมาสที่ 3 ของปี 2562 มีจำนวนผู้ว่างงานจำนวนกว่า 400,000 คน คิดจากกำลังแรงงาน 38 ล้านคน ซึ่งถือว่ามีจำนวนคนว่างงานเพิ่มขึ้นจากปี 2561 โดยผู้จบปริญญาตรีมีอัตราการว่างงานสูงสุดคือ 2.3 %
หลังจากไวรัสโควิด-19 ระบาด ประเมินว่าขณะนี้มีคนตกงานแล้วไม่น้อยกว่า 7 ล้านคน ขณะที่ทางสภาอุตสาหกรรมและหอการค้าไทยระบุว่าน่าจะเป็น 10 ล้านคน
แต่หากดูตัวเลขของรัฐบาลในโครงการ “เราไม่ทิ้งกัน” มีคนไปลงทะเบียนขอ 5,000 บาท มากกว่า 27 ล้านคน
ตั้งแต่ปี 2557 หรือหลังการทำรัฐประหารเป็นต้นมา อัตราการว่างงานของไทยเราต่ำกว่า 1% มาตลอด ซึ่งข้อมูลนี้เหมือนจะดีใช่ไหมครับ แตาปรากฏว่าไม่มีไตรมาสไหนเลยที่เศรษฐกิจไทยสามารถโตได้ตามเป้าที่ฝั่งผู้กำหนดนโยบายคาดการณ์ไว้
ไตรมาส 2/2019 ที่ผ่านมา GDP Growth ของไทยเรา ประกาศออกมาอยู่ที่ 2.3% ชะลอตัวลงมาเป็นไตรมาสที่ 3 ติดต่อกัน จนทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย ต้องปรับเป้าประมาณการ GDP ของไทย จากเดิม 3.3% ลงมาเหลือ 2.8% ในปีนี้
ผมไม่แน่ใจว่าข้อมูลอัตราการว่างงานที่น้อยลงนั้น เกี่ยวข้องกับการรัฐประหารหรือไม่ แต่แน่ใจว่ารัฐบาลภายใต้การบริหารของนายกรัฐมนตรีคนเดียวคนนี้ ทำให้มีอัตราการว่างงานลดลง
ซึ่งอัตราการลดลงไม่ได้หมายความว่าคนมีงานทำเพิ่มมากขึ้นเสมอไปนะครับ แต่ยังหมายถึงจำนวนของผู้มีอายุในช่วงประกอบอาชีพในระบบลดลง มาปัจจัยหลักคือการมีผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้นนั่นเอง
แต่แน่นอนว่า ไตรมาสแรกของปีนี้ อัตราการว่างงานของคนไทยต้องสูงขึ้นอย่างมากแน่นอน
เพราะฉะนั้นการประกาศต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ต่อไปเรื่อยๆ ไม่ได้เป็นผลดีกับรัฐบาลนะครับ เนื่องจากเป็นการกีดกันไม่ให้แรงงานไหลกลับเข้าสู่ในระบบเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจตามที่ควรจะเป็น
การตกงานนานๆโดยมองไม่เห็นอนาคต จะไปสมัครที่ไหนสถานประกอบการก็ยังปิด ยิ่งเป็นการสุมเชื้อเพลิงให้ประชาชนไม่พอใจการบริหารประเทศของรัฐบาลเพิ่มมากขึ้น อาจทำให้ Mob From Home มีแนวร่วมกระจายออกไปเรื่อยๆ
ช่วงแรกๆของการตกงาน มีหลายคนหันมาทำขนม ทำอาหาร ขายทางออนไลน์ เพื่อประทังชีวิต ประคองให้รอดพ้นจากวิกฤตการแพร่ระบาด ชาวบ้านทุกคนเฝ้ารอจะกลับไปใช้ชีวิตตามปกติให้เร็วที่สุด
มาถึงขณะนี้การขายของออนไลน์ก็ไม่ได้เป็นช่องทางประกอบธุรกิจที่ชาวบ้านสามารถจะพึ่งพาเป็นหลักแทนการทำงานประจำเหมือนเดิม ยิ่งไม่รู้ว่าไวรัสโควิด-19จะอยู่นานจนถึงเมื่อไร เช่นเดียวกับไม่รู้ว่ารัฐบาลนี้จะอยู่อีกนานแค่ไหน ยิ่งทำให้ชาวบ้านรู้สึกว่าการกลับมาลืมตาอ้าปากอีกครั้งนั้นเลือนลางเต็มที
อย่าลืมว่ามาตรการจ่ายเงินเยียวยา 5,000 บาท เดือน มิ.ย.นี้เป็นเดือนสุดท้ายแล้วนะครับ จะกู้เงินมาเพิ่มเพื่อแจกต่อนั้นรัฐบาลไหวหรือ
การจะต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ครั้งต่อไป รัฐบาลควรตัดสินใจโดยคำนึงถึงอนาคตของประชาชนให้มากกว่านี้ครับ เพราะผลเสียที่กลับมานั้นทำให้รัฐบาลกำลังฆ่าตัวตายชัดๆ