“บีไนซ์” คืนชีพเขย่าตลาดครีมอาบน้ำ ดันรายได้แตะพันล้าน
หายไปนานสำหรับแบรนด์ บีไนซ์ ผลิตภัณฑ์ครีมอาบน้ำภายใต้การทำตลาดของ บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด เจ้าของสินค้า 8 แบรนด์ด้วยกัน ได้แก่ Fineline, Eversense, Tross, D-nee, Smart, Benice, Tomi และ Vivite ครอบคลุมทั้งสินค้าภายในบ้าน และสินค้า Personal Care
บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด ได้ดำเนินการจดทะเบียนจัดบริษัทฯ ขึ้นเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2532 เดิมใช้ชื่อบริษัท ไบโอคอนซูมเมอร์ จำกัด ก่อนจะทำการีแบรนด์ครั้ังใหญ่และเปลี่ยนมาใช้ชื่อบริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด ในปี 2559 ที่ผ่านมา
นีโอ คอร์ปอเรท ถิอเป็นหนึ่งในผู้เล่นคนสำคัญในตลาด FMCG เนื่องด้วยเป็นแบรนด์สัญชาติไทยแท้ที่ต้องงัดข้อกับยักษ์ใหญ่ทั้งไทย และต่างขาติหลายราย
ล่าสุด สร้างความตื่นเต้นในตลาดครีมอาบน้ำซึ่งน่าจะเป็นตลาดที่นีโอถนัดมากที่สุดอีกตลาดหนึ่งด้วยการชูแบรนด์ครีมอาบน้ำ บีไนซ์ ด้วยการอัดกลยุทธ์ครั้งใหญ่ ภายใต้งบการตลาดสูงถึง 300 ล้านบาท ซึ่งสูงที่สุดตั้งแต่เปิดตัวแบรนด์บีไนซ์ เพื่อผลักดันยอดขายเติบโตกว่าปีก่อน 18% และตั้งเป้าหมายจะผลักดันรายได้แตะ 1,000 ล้านบาท ในตลาดครีมอาบน้ำภายในปี 2563 (ค.ศ. 2020)
ปัจจุบัน บีไนซ์เป็นแบรนด์ครีมอาบน้ำอันดับ 3 จากตลาดครีมอาบน้ำรวมที่มีมูลค่าเม็ดเงินประมาณ 4,833 ล้านบาท โดยมีส่วนแบ่งการตลาด 14% และมีอัตราเติบโตต่อปี 13%
กลยุทธ์ของนีโอฯ ประเดิมด้วยการเปิดตัวสินค้าใหม่ ซึ่งถือเป็นผลิตภัณฑ์ไฮไลท์ ได้แก่ “บีไนซ์ มีสทีค ไวท์” (BeNice Mystic White) เพื่อขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มใหม่ ๆ ที่ยังไม่เคยใช้บีไนซ์ โดยเฉพาะกลุ่มผู้หญิงอายุ 22-35 ปี ที่ดูแลและใส่ใจในตัวเองและวางแผนออกสินค้าที่มีนวัตกรรมใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อขยายตลาด และจับเทรนด์ตลาดใหม่ ๆ เพื่อสร้างกระแสและสีสันในตลาด
กลยุทธ์ที่ 2 บีไนซ์ เตรียมแจกตัวอย่างสินค้าขนาดทดลอง จำนวน 500,000 ชิ้น ทั่วประเทศและได้มีการเปิดตัวหนังโฆษณามีสทีค ไวท์ ต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เพื่อเจาะเข้าถึงกลุ่มคนทั่วประเทศ ทั้งสื่อออนไลน์และออฟไลน์ ซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนยอดวิวทะลุ 15 ล้านวิวในช่องทางยูทูป
โดยปีนี้ บีไนซ์ต้องการสร้างประสบการณ์การอาบน้ำรูปแบบใหม่ โดยการดึงเทคโนโลยีฮาโลแกรม (Halo gram) เข้ามาช่วยสร้างความสนุก ความสดชื่น ในแต่ละฉาก พร้อมกับจังหวะเสียงเพลงสนุกติดหู และท่าเต้นเช็คผิวกระชับ สอดแทรกในหนัง เพื่อต่อยอดกับแคมเปญออนไลน์และกิจกรรมบีไนซ์ เอฟเฟกต์ ชาเลนจ์ (BeNice Effect Challenge) ซึ่งจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 มิ.ย.นี้
ด้านภาพรวมตลาดครีมอาบน้ำกลุ่ม Beauty ชนิดเหลว มีอัตราเติบโตเฉลี่ย 3-4% โดยปีนี้คาดเติบโต 5% และมีการแข่งขันสูง ซึ่งผู้เล่นในตลาดต่างงัดสินค้าใหม่ออกมาแข่งขันกันทุกปี โดยบีไนซ์ มีสัดส่วนทางการตลาดอยู่ 17% และมีอัตราการเติบโตสูงถึง 13% ซึ่งเชื่อว่า การรุกตลาดอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปีของบีไนซ์จะผลักดันมาร์เก็ตแชร์แบรนด์บีไนซ์รวม เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 4% และมียอดขายรวมถึง 1,000 ล้านบาท ได้ตามเป้าหมายภายใน 3 ปี
นีโอฯ มั่นใจว่า สิ่งที่จะทำให้บีไนซ์เหนือกว่าคู่แข่งในตลาดเดียวกัน คือ ความสามารถปรับตัวได้รวดเร็ว การออกสินค้าลิมิเต็ด อิดิชั่น ใหม่ ๆ มากระตุ้นตลาด เช่น การเปิดตัวครีมอาบน้ำบิงซูเจ้าแรก ซึ่งได้รับความสนใจในโลกออนไลน์อย่างมาก เห็นได้จากมีคนแชร์ในโซเชียลมีเดียและ tweet อย่างต่อเนื่อง รวมถึงความสัมพันธ์ที่ดีกับร้านค้าในช่องทางเทรดดิชั่นแนล เทรด (Traditional trade) ซึ่งเป็นช่องทางสำคัญ บีไนซ์เป็นผู้นำอันดับ 1 ในช่องทาง Super Hyper Other มีอัตราการเติบโตสูงสุดมากถึง 44% และมีสัดส่วนในตลาดถึง 24% และผลิตภัณฑ์บีไนซ์สูตรผิวกระจ่างใส สีเขียวยังสามารถครองสินค้าอันดับ 1 ในตลาดนี้เช่นกัน
ในขณะเดียวกันบีไนซ์ยังครองความเป็นผู้นำเบอร์ 1 ในตลาดครีมอาบน้ำ ขนาด 180-200 มล. มีสัดส่วนในตลาดมากถึง 30% มานานกว่า 3 ปี
ส่วนการรุกตลาดส่งออก บีไนซ์ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีมากจากประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ พม่า เขมร โดยปีที่ผ่านมามียอดส่งออกเติบโตสูงถึง 14%
ขณะที่ผลประกอบการปีนี้ นีโอ คอร์ปอเรท ภายใต้แบรนด์เอเวอร์เซ้นส์, ทรอส, บีไนซ์, ไฟน์ไลน์, วีไวต์, สมาร์ท โทมิ และดีนี่ ตั้งเป้าหมายที่ 6,200 ล้านบาท เติบโต 15% จากปี 2560 แบ่งสัดส่วนเป็นสินค้าของใช้ส่วนตัวหรือเพอร์ซันนัลแคร์ 40% และผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือนหรือเฮาส์โฮลด์ ประมาณ 60%