Biznews

“นิ้วกลม” จัดหนัก  ‘ ความสิ้นหวังมีหน้าตาแบบนี้นี่เอง’

ขึ้นชื่อว่าเป็นนักคิดนักเขียนระดับแถวหน้าของเมืองไทย สำหรับ ‘สราวุธ เฮ้งสวัสดิ์’ ชื่อเล่น เอ๋ หรือเป็นที่รู้จักในนามปากกาว่า นิ้วกลม เป็นครีเอทีฟโฆษณา ผู้กำกับโฆษณา นักเขียน พิธีกรชาวไทย ที่มีผลงานสร้างชื่อไว้มากมายล่าสุดเฟซบุ๊ก ของนายสราวุธ เฮ้งสวัสดิ์ Sarawut Hengsawad หรือ “นิ้วกลม” ได้โพสต์ข้อความถ่ายทอดความรู้สึกตลอดจนปรากฏการณ์ทางสังคม  ในเวลานี้  ผ่าน  Roundfinger  ว่า ….
‘คุณสร้างความชอบธรรมให้อำนาจตัวเองด้วยการเอ่ยอ้าง “ความดี” เพื่อมาจัดการ “ความชั่วร้าย” ทั้งที่ความชอบธรรมนั้นไม่มีตั้งแต่ต้น เมื่อ “ความดี” ที่เอ่ยอ้างนับวันยิ่งพร่าเลือน กระทั่งมองไม่เห็นว่าอะไรคือ “ความดี” ที่ว่านั้นบ้าง ความชอบธรรมของคุณก็ค่อยๆ เลือนหายไปตามกัน

 

แต่ไม่เพียงเท่านั้น คุณยังค่อยๆ สะสมพฤติกรรมหลายอย่างที่หน้าตาคล้ายสิ่งที่คุณเคยชี้นิ้วใส่คนอื่นแล้วเรียกมันว่า “ความชั่วร้าย” เพิ่มมากขึ้นทุกวัน ข้ออ้างในนามของ “ความดี” ที่เคยเป็นเกราะคุ้มกันความชอบธรรมย่อมอ่อนแอลงไปเรื่อยๆ


“ความดี” ที่เอ่ยอ้างไม่คุ้มครองคุณอีกต่อไป
ความสิ้นหวังมีหน้าตาแบบนี้นี่เอง เมื่ออำนาจกลายไปเป็นความไม่ยี่หระใดๆ ต่อผู้คนในสังคม กลายเป็นความมั่นใจผิดๆ ว่าต่อให้ทำอะไรผิด แค่ทำหน้านิ่งๆ ทื่อๆ เข้าไว้ก็ไม่มีใครมาทำอะไรฉันได้ เมื่อความรับผิดชอบกลายเป็นสิ่งที่คาดหวังไม่ได้จากคนที่ควรคาดหวัง เมื่อความผิดไม่เคยถูกลงโทษขอเพียงคุณอยู่ให้ถูกข้าง เมื่อผู้ตรวจสอบถูกประณามว่าชังชาติ เมื่ออำนาจกลายเป็นความถูกต้องไร้ขอบเขต และด้านชากับเสียงประชาชนความสิ้นหวังมีหน้าตาแบบนี้นี่เอง เมื่อผู้บริหารคิดถึงการอยู่รอดของตัวเองมากกว่าความเป็นอยู่ของผู้คน เมื่อบุคลากรสาธารณสุขทำงานอย่างหนักเพื่อต่อสู้โรคระบาดรุนแรง แต่ยังมีคนคิดเอาเปรียบและฉวยโอกาสด้วยใบหน้าภาคภูมิใจโดยไม่มีแม้แต่เสี้ยวความคิดว่ากำลังเริงร่าอยู่บนความเสี่ยงถึงชีวิตของผู้อื่นความสิ้นหวังมีหน้าตาแบบนี้นี่เอง ขณะที่ประชาชนเดือดร้อนจากผลกระทบของโรคระบาดทั่วทุกหย่อมย่าน เราต้องตื่นมาพบข่าวสารที่ทำให้รู้สึกว่า “ยังแย่ลงไปได้อีก” ทุกวี่วัน ท่ามกลางฝุ่นจิ๋วที่สูดเข้าปอดตลอดเวลาโดยไม่มีที่ท่าว่าจะมีนโยบายแก้ปัญหาระยะยาวให้เห็นผลความสิ้นหวังมีหน้าตาแบบนี้นี่เอง กระทั่งข้อเท็จจริงที่ชัดเจนหรือการบริหารงานที่ผิดพลาดซ้ำๆ ก็ยังได้รับความไว้วางใจจากตัวแทนประชาชนในสภาที่ยกมือหราราวกับหุ่นที่ถูกกดปุ่มสั่ง

ความสิ้นหวังมีหน้าตาแบบนี้นี่เอง เมื่ออำนาจกลายเป็นคำว่า “ทำอะไรก็ได้” และเมื่อเสียงโกรธของสังคมดังขึ้นก็เริ่มวางกลยุทธ์ออกนโยบายเพื่อบรรเทาความโกรธไปวันต่อวัน ราวทำเพื่อประคับประคองอำนาจของตนต่อไป

ความสิ้นหวังมีหน้าตาแบบนี้นี่เอง เมื่อผู้บริหารไร้ความตระหนักว่าบทบาทของตัวเองนั้นมีผลต่อประชาชนมากเพียงใด และมองทุกเสียง ทุกการตรวจสอบ ทุกคำท้วงติงวิพากษ์วิจารณ์ในแว่นของการต่อสู้ทางการเมืองจากฝ่ายตรงข้ามตลอดเวลา แทนที่จะรับฟังแล้วนำไปตรวจสอบคณะของตนหรือนำไปปรับปรุงแก้ไข

ความสิ้นหวังมีหน้าตาแบบนี้นี่เอง เมื่ออำนาจกลับใช้อำนาจที่มีชี้นิ้วกลับมาที่ประชาชนเพื่อแบ่งแยกประชาชนออกเป็นสองฝั่ง สร้างความเกลียดชังด้วยภาษีประชาชนสร้างข่าวสารปลอมและมุมมองเลวร้าย

ความสิ้นหวังมีหน้าตาแบบนี้นี่เอง เมื่อมีความผิดเกิดขึ้นมากมาย แต่พวกเราประชาชนเองยังคงแยกฝ่ายและปกป้องผู้ทำผิดด้วยเหตุผลว่า “ใครเป็นก็เหมือนกัน” หรือ “ชุดที่แล้วเลวกว่านี้” แทนที่จะรวมพลังกันส่งเสียงตรวจสอบความผิดที่เห็น

ความสิ้นหวังมีหน้าตาแบบนี้นี่เอง เมื่อเกิดความปั่นป่วนในการบริหาร ข่าวลือยึดอำนาจครั้งใหม่ก็ค่อยๆ กระซิบกันตามหัวมุมถนน ราวกับว่านั่นคือหนทางเดียวในการแก้ปัญหาทั้งหมดในสังคมนี้

การมีชีวิตอยู่ท่ามกลางความสิ้นหวังนั้นสูญเสียพลังสร้างสรรค์ ห่อเหี่ยวใจ มองไปก็ไม่เห็นอนาคต อำนาจที่ไม่แยแสต่อเสียงของประชาชน ทำราวกับว่าประชาชนไม่มีตัวตนส่งผลทางจิตวิทยาให้ผู้คนในสังคมนั้นรู้สึกด้อยค่า ไร้เรี่ยวแรง เหมือนคนที่คิดไม่ได้ ถามไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้ ราวกับเสียงของเราไม่มีคุณค่าอะไรเลยในบ้านเมืองนี้ ส่วนพวกเขาก็แค่ทำหน้านิ่งๆ ปฏิเสธหน้าตาเฉย แล้วครองอำนาจต่อไป

ความสิ้นหวังมีหน้าตาแบบนี้นี่เอง’

Related Articles

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Back to top button
X
%d bloggers like this: