“ธารินทร์ บวรวนิชยกูร”จากเซียนหุ้นสู่ (ว่าที่) เศรษฐีอสังหาหมื่นล้าน
” นักรบย่อมมีบาดแผล” น่าจะใช้ได้ดีกับชายหนุ่มผู้ที่ผ่านบททดสอบชีวิตจากนักลงทุนมาตั้งแต่วัยรุ่นกว่า 10 ปีกลับพลิกผันชีวิตให้กลับสู่โลกแห่งธุรกิจ โดยเลือกที่จะเดินบนเส้นทางอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นธุรกิจที่ต่อยอดจากธุรกิจดั้งเดิมของครอบครัว ชนิดไม่หวั่นเกรงแม้จะคู่แข่งระดับบิ๊กเนมรายล้อมอยู่จำนวนมากก็ตาม
“ธารินทร์ บวรวนิชยกูร” คือบุคคลที่เรากำลังกล่าวถึง ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง กรรมการ บริษัท เบล็ส แอสเสท กรุ๊ป จำกัด นักลงทุนรุ่นใหม่ที่มีประสบการณ์ด้านลงทุนมาตั้งแต่วัยรุ่น จบการศึกษาระดับปริญญาโท บริหารธุรกิจ สาขาการเงิน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (Financial MBA, Kasetsart University) และระดับปริญญาตรี จบจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาอุตสาหการ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (Industrial Engineering, Kasetsart University) และระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 จากประเทศแคนาดา
หลังจากที่จบการศึกษาปริญญาโท ธารินทร์ ได้เข้าทำงานกับบริษัท โดยเริ่มจากตำแหน่ง Management Trainee เพื่อเรียนรู้และทำงานกับผู้ที่มีประสบการณ์โดยตรงในสายงาน ทำให้ได้เรียนรู้งานจากหลากหลายสายงาน หลายแผนก คุณธารินทร์ มีบุคลิกส่วนตัวที่ชอบการลงทุนมาตั้งแต่วัยเยาว์ ซึ่งซึมซับเทคนิคการลงทุนจากบุคคลรอบตัว บวกกับความเป็นคนใฝ่รู้อยู่เสมอ และอัธยาศัยดี จึงสนับสนุนให้ธารินทร์ เริ่มลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ตั้งแต่เริ่มเข้ามหาวิทยาลัย ปีที่ 1 ตอนอายุ 18 ปี ปัจจุบัน ธารินทร์ อายุ 33 ปี
ซึ่งในช่วงแรกๆ ที่เริ่มลงทุนได้กำไรมาโดยตลอดจนมาเจอกับ Hamburger Crisis ก็เริ่มเสียเงินไปกับตลาดหุ้นเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้เขาสนใจเริ่มศึกษาการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ทั้งคอนโดมิเนียม และที่ดิน อย่างจริงจัง เพื่อลงทุนควบคู่ไปกับการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ จึงเห็นว่าสามารถได้รับผลตอบแทนทั้งจากค่าเช่า และจากมูลค่าที่เพิ่มขึ้นของที่ดิน เลยส่งผลให้ชื่นชอบการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เช่นเดียวกัน
ธารินทร์ เล็งเห็นโอกาสด้านการลงทุนดังกล่าวจึงเปรียบเทียบการลงทุนระหว่าง การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ และการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ พบว่าการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เป็นสิ่งที่ชื่นชอบ ทำกำไรได้ดีและมั่นคง ในขณะเดียวกันหากสามารถนำบริษัทของตนเองเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้ จะสามารถสร้างความมั่นคั่งได้ในระยะเวลาอันสั้น จึงนำหลักของการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์มาผสมผสานกัน เพื่อสร้างผลตอบแทนและสร้างความมั่นคงไปพร้อมๆ กัน
เมื่อทุกอย่างลงตัว บริษัท เบล็ส แอสเสท กรุ๊ป จำกัด จึงถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2554 ด้วยทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาท โดยผู้บริหารที่มีประสบการณ์ในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยเริ่มต้นจากการประกอบธุรกิจก่อสร้าง รับงานทั้งภาครัฐและเอกชน ภายใต้ชื่อ บริษัท เบล็ส บิลด์ จำกัด ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2552 เพื่อดำเนินธุรกิจผู้รับเหมาก่อสร้าง และจากความเชี่ยวชาญในธุรกิจรับเหมาก่อสร้างทำให้ ตระหนักถึงคุณภาพและมาตรฐานของการทำโครงการบ้านจัดสรร จึงได้ริเริ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ภายใต้บริษัท เบล็ส เเอสเสท กรุ๊ป จำกัด
ด้วยความที่มีเลือดของนักลงทุนเต็มเปี่ยม ธารินทร์ ใฝ่ฝันว่าเมื่อมีบริษัทของตัวเองจะต้องนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯให้จงได้ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการด้านการลงทุน โดยซื้อที่ดินและพัฒนาที่ดินนั้นทำเป็นหมู่บ้าน ดังต่อไปนี้
– BLESS VILLE ทาวน์โฮม 2 ชั้น ในโซน รามอินทรา 3 โครงการ (1 โครงการ ปิดไปแล้ว)
– BLESS TOWN ทาวน์โฮม 3 ชั้น ในโซน สุขุมวิท 50, รามอินทรา, ปทุมธานี และ บางนา
ธารินทร์ ให่้เหตุผลถึงการเลือกลงทุนในหมู่บ้านลักษณะทาวน์โฮม เนื่องจากตลาดยังมีการตอบรับที่ดี ลูกค้าส่วนใหญ่มีไลฟ์สไตล์แบบคนรุ่นใหม่ที่เริ่มสร้างครอบครัวของตนเอง หรือจากการอยู่อาศัยในรูปแบบคอนโดมิเนียมเป็นทาวน์โฮมที่ตอบโจทย์การสร้างครอบครัวที่ไม่ใหญ่มากของคนปัจจุบัน ดังนั้นตลาดนี้จึงยังมีความต้องการอยู่อีกมาก มีความเสี่ยงต่ำ แม้ในปัจจุบันที่ดินมีราคาสูงขึ้น แต่ลูกค้าสามารถเข้าถึงได้ง่าย

นอกจากนี้ ปี 2561 จะเป็นปีทองของบริษัทฯ ที่มีโอกาสขยายธุรกิจได้ดีอย่างต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา ซึ่งแม้ว่าภาพรวมอุตสาหกรรมจะเติบโตไม่หวือหวามาก แต่ด้วยความที่รายเล็กของตลาดจึงมีข้อได้เปรียบในการปรับกลยุทธ์ได้ง่ายกว่าผู้ประกอบการรายใหญ่ บวกกับแนวทางการวางกลยุทธ์โครงการที่เปิดขาย และการจับกลุ่มตลาดที่ถูกต้อง ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถปิดการขายทั้งปี 2560 แตะระดับ 570-580 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโตกว่าร้อยละ 50 จากปี 2559 สำหรับปีนี้ คาดการณ์การเติบโตอย่างก้าวกระโดดกว่าเท่าตัว มาแตะที่ 900 ล้านบาท โดยมองภาพรวมอุตสาหกรรมจะเติบโตกว่าร้อยละ 9-10 ตามอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจรวม (GDP) ที่คาดจะโตกว่าร้อยละ 4.5-5
ทั้งนี้ มีแผนการเปิดขายโครงการใหม่ 3 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 1,500 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ใหม่ เมลิโซ ปาร์ค (Meleso Park) บ้านหรู มอบความเป็นส่วนตัวให้กับการอยู่อาศัย และแบรนด์ เบล็ส เชอร์ (BLEISURE) คอนโดมิเนียม 8 ชั้น อารมณ์รีสอร์ท โดยรายละเอียดของ 3 โครงการใหม่ที่จะเปิดตัวในปีนี้ ประกอบด้วย เมลิโซ ปาร์ค (Meleso Park) ศรีนครินทร์ – หนามแดง มูลค่าโครงการ 310 ล้านบาท บ้านหรู มอบความเป็นส่วนตัวให้กับการอยู่อาศัย บนทำเลใจกลางถนนศรีนครินทร์-หนามแดง เหนือกว่าด้วยฟังก์ชั่น 4 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ใช้สอย 132 ตารางเมตร จำนวน 58 ยูนิต อยู่ใกล้แนวรถไฟฟ้าสายสีเหลือง สถานีศรีด่าน เชื่อมต่อถนนสายสำคัญ ถนนศรีนครินทร์ กิ่งแก้ว บางนา และเทพารักษ์ ใกล้ทางด่วนวงแหวนฯ รอบนอก ใ
โครงการที่สอง เบล็สเชอร์ (Bleisure) จรัญสนิทวงศ์ 96/1 คอนโดมิเนียม 8 ชั้น สไตล์รีสอร์ท แห่งแรก บนทำเลใจกลางย่านจรัญสนิทวงศ์ ซอย 96/1 มูลค่าโครงการ 483 ล้านบาท จำนวน 193 ยูนิต ห่างจากรถไฟฟ้ามหานคร (MRT) สายสีน้ำเงิน สถานีบางอ้อ เพียง 700 เมตร ราคาต่อยูนิตเริ่มต้นเพียง 1.79 ล้านบาท โดยเตรียมจะเปิดขายอย่างเป็นทางการในเดือนกุมภาพันธ์นี้ และเป็นครั้งแรกที่ขยายไปยังแนวสูง
ส่วนโครงการที่สาม จะพัฒนาโครงการในรูปแบบมิกซ์ ยูส ระหว่างทาวน์โฮม 2 ชั้น และบ้านแฝด 2 ชั้น รวมจำนวน 318 ยูนิต บนพื้นที่โครงการประมาณ 29 ไร่ ในทำเลยุทธศาสตร์ย่านบางปู ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการก่อสร้าง และศึกษาแบรนด์โครงการที่ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายมากที่สุด
อย่างไรก็ดีกลยุทธ์ของบริษัทฯ ยังคงเน้นจุดขายและจับตลาดที่บริษัทฯ ถนัด ได้แก่ ตลาดกลุ่มคนรุ่นใหม่ วัยเริ่มทำงาน กลุ่มสตาร์ท-อัพ และกลุ่มคนที่เริ่มสร้างครอบครัว ที่มีความเป็นตัวเอง สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยของคนรุ่นใหม่ โดยยังคงรักษาคุณภาพสินค้าตามแนวคอนเซปต์ความคุ้มค่ายิ่งกว่าราคาจ่าย
จะเห็นได้ว่าปีนี้ บริษัทฯ ขยายธุรกิจเพื่อปิดช่องว่างตลาดของกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น ทั้งการพัฒนา บ้านหรู เมลิโซ ปาร์ค และ คอนโด 8 ชั้น เบล็สเชอร์ เพื่อตอบโจทย์ให้ครอบคลุมทุกความต้องการของตลาดเรียลดีมานด์กลุ่มคนรุ่นใหม่ สตาร์ท-อัพ และครอบครัวคนรุ่นใหม่ ที่มีสไตล์การอยู่อาศัยเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว มากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ดี ในการพัฒนาโครงการใหม่ๆ ในอนาคต ยังคงเน้นโครงการแนวราบมากกว่า เพราะเป็นโครงการที่มีความถนัด และถือเป็นตลาดที่มีความเสี่ยงต่ำ โดยในอนาคต กำลังมองหาที่ดิน เพื่อพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างการเติบโตที่มั่นคงยั่งยืนในทุกๆ ปี และเพื่อเตรียมตัวเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ปี 2562 โดยปีนี้เตรียมงบสำหรับซื้อที่ดินใหม่ 3-5 แปลง มูลค่ารวม 1,000 ล้านบาท
เหนือสิ่งอื่นใด หลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะช่วยให้การลงทุนเป็นไปอย่างรวดเร็วขึ้นโดยสัดส่วนรายได้จะมีการเปลี่ยนแปลง จากปัจจุบันรายได้หลักมาจากแนวราบ 70% แต่หลังเข้าตลาดฯจะเปลี่ยนเป็นแนวสูง 60% แนวราบ 40% และมีโปรดักส์ที่หลากหลายยิ่งขึ้นครอบคลุมทุกเซกเมนท์ เพื่อกระจายความเสี่ยง
อีกทั้งบิสสิเนสโมเดลของบริษัทฯ จะเปลี่ยนไป จากเดิมที่เริ่มโครงการ 10-15 ไร่ก็จะเพิ่มเป็น 20-40 ไร่ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน โดย ธารินทร์ ย้ำว่า การเป็นรายเล็กในตอนนี้ขอดูรายใหญ่ที่ทำไว้เป็นตัวอย่างและพัฒนาตามแต่ในแนวทางของตนเอง เพราะในที่สุดแล้วราคาที่ดินจะเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้สามารถต่อสู้กับคู่แข่งได้
อย่างไรก็ตาม ในปี 2562 ซึ่งเป็นปีที่เข้าตลาดฯ คาดการณ์รายได้ที่ 2,000 ล้านบาท จากนั้นจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ แตะระดับหมื่นล้านบาทหลังเข้าตลาดฯ ประมาณ 5-6 ปี
และที่สำคัญ ธารินทร์ บอกว่า “หลังจากเล่นหุ้นคนอื่นมานานและไม่เวิร์ค ขอเล่นหุ้นของตัวเองดีกว่า”
เมื่อถามว่าไอดอลของเขาคือใคร ธารินทร์ตอบอย่างไม่ลังเลว่า” ทองมา วิจิตรพงศ์พันธ์ุ ” มหาเศรษฐีอันดับ 1 แห่งพฤกษาเรียลเอสเตท
ส่วนจะสามารถไต่ฝันถึงได้หรือไม่นั้น มาดูกัน