ทำความรู้จัก ยาทาแก้คันรักษาโรคกลากเกลื้อนก่อนที่จะซื้อมาใช้

ปัจจุบันยาทาแก้คัน รักษาโรคกลากเกลื้อนนั้นมีวางขายตามร้านขายยาทั่วไป แต่ก่อนที่จะไปซื้อ หรือปรึกษากับเภสัชกร จะดีกว่าไหม หากว่าเราจะรู้ข้อมูลเกี่ยวกับยาประเภทนี้ไปเบื้องต้น เพื่อที่จะสอบถามข้อมูล และใช้ได้อย่างเหมาะสม ที่สำคัญคือ เลือกที่ใช่สำหรับเราจริง ๆ บทความนี้ เราจึงขอพาทุกคนไปรู้จักกับบาทาแก้คัน ที่มีสาเหตุจากกลากเกลื้อน ว่าควรรู้อะไรบ้าง ไปดูกันเลย
รู้จักโรคกลากเกลื้อน
กลากเกลื้อน เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อรา ทำให้เกิดอาการคันได้ง่าย ซึ่งแม้ว่าเราจะเรียกว่ากลากเกลื้อน แต่ทั้งสองโรคนี้ก็มีความแตกต่างกันอยู่พอสมควร
โรคกลาก เกิดจากเชื้อราชนิดเดอร์มาโตไฟต์ มีลักษณะแดง มีสะเก็ดสีขาว สามารถขยายวงกว้างไปได้เรื่อย ๆ โดยขอบของวงจะมีลักษณะนูน ๆ ขึ้นมาเป็นขอบ ส่วนโรคเกลื้อน จะมีลักษณะเป็นจุดเปลี่ยนสีของผิวหนังเป็นวงกว้าง ดูแล้วไม่สวยงาม การรักษาควรจะต้องปรึกษาแพทย์ ก่อนที่จะลุกลาม
ด้วยเหตุที่ต้นเหตุ คือชนิดของเชื้อรามีความแตกต่างกัน เราจึงควรจะมั่นใจก่อนว่า เราเป็นโรคอะไรกันแน่ และเกิดจากเชื้อราอะไร เพื่อที่จะซื้อยาทาแก้คันเพื่อรักษาโรคกลากเกลื้อนได้อย่างตรงจุดนั่นเอง
การเลือกซื้อยาทาแก้คัน เพราะกลากเกลื้อน
ยาทาแก้คันสำหรับกลากเกลื้อน จะเป็นยาที่ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา รวมถึงการเพิ่มจำนวนมากขึ้นอีกด้วย ยาทาต่าง ๆ เหล่านี้จึงมีฤทธิ์ในการกำจัดเชื้อราบนผิวหนังได้ดี ซึ่งหากว่าเราซื้อตัวยาได้ถูกประเภท ก็จะเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษามากยิ่งขึ้นนั่นเอง ด้วยเหตุนี้ เราจึงควรจะแจ้งเภสัชกรหรือแพทย์อย่างละเอียดถึงลักษณะของเชื้อราตามผิวหนังต่าง ๆ เพื่อที่จะรักษาได้อย่างตรงจุดนั่นเอง
คำแนะนำเกี่ยวกับการใช้ยาทา
สำหรับผู้ที่ซื้อยาทาแก้คัน รักษากลากเกลื้อน หรือเชื้อราชนิดอื่น ๆ แบบทาที่ผิวหนัง ก่อนทายาควรจะทำความสะอาดผิวหนังบริเวณที่จะทายาและใช้ผ้าขนหนูซับให้แห้งสนิท จากนั้นให้ทายาแก้คัน สำหรับรักษากลากเกลื้อนลงไปในทั่ว ทาบาง ๆ ไม่ต้องโปะไปเยอะจนเกินความจำเป็น รอสักพักแล้วสวมใส่เสื้อผ้าตามปกติ
นอกจากนี้ เราควรจะรักษาความสะอาด ไม่สวมเสื้อผ้าอับชื้น หรือเปียกเหงื่อ ไม่ใส่เสื้อผ้าซ้ำ หรือใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อโรคลุกลามมากยิ่งขึ้น
สำหรับผู้ที่เป็นโรคกลากเกลื้อน ในเบื้องต้นเราสามารถปรึกษาเภสัชกร เพื่อซื้อยาทาแก้คัน รักษากลากเกลื้อนมาทาได้ในเบื้องต้น แต่หากว่าอาการไม่ดีขึ้น หรือลุกลามมากขึ้น ควรพบแพทย์เพื่อทำการรักษาอย่างถูกวิธีต่อไป เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดนั่นเอง