Biznews

ทำความรู้จัก พร้อมเจาะลึก อนาคตคน 3 Gen ‘X – Y- Z’

เจาะลึกอนาคตของคน Gen X

จากที่คน Gen X รับบทเดอะแบกกันมาตั้งแต่อายุยังน้อย ทำให้ 42%* ของ Gen X กลายเป็นนักบริหารจัดการคนในครอบครัวและวางแผนทางการเงินที่รอบคอบ สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขา คือการสร้างแผนเก็บเงิน ปัจจุบันนี้ก็อายุ 42-57 ปี กำลังเตรียมเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุที่แบกรับความกังวล ทั้งเรื่องการเงิน การว่างงาน ปัญหาสุขภาพทั้งกายและใจ รวมถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆ กัน จากการระบาดของโควิด-19 นั่นเอง
.
Gen X กับภัยพิบัติทางการเงินหลังเกษียณอายุ
81%* ของคน Gen X รู้สึกกังวลกับอนาคตทางการเงิน และสวัสดิการสังคมว่าจะซัพพอร์ตคนมีอายุได้ดีจริงๆ แค่ไหน เพราะพวกเขาเองก็ยังอยากใช้ชีวิตตามปกติ มีงานมีการทำ โดยที่ไม่ต้องเป็นภาระใคร

ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการระบาดของโควิด-19 ทำให้ Gen X กว่า 27%* ต้องกู้ยืมหรือเบิกเงินสำรองจากบัญชีเงินออมที่ตั้งใจเก็บไว้ตอนเกษียณอายุออกมา จนเริ่มกังวลว่าถ้าโควิด-19 อยู่นานกว่านี้ พวกเขาจะใช้ชีวิตยังไงต่อไปดี
.
เศรษฐกิจพังเพราะโควิด ทำ Gen X ว่างงานแบบไม่ทันตั้งตัว
เพราะโควิด-19 ทำให้เศรษฐกิจและการท่องเที่ยวย่ำแย่ มี 32%*ของคน Gen X ถูกลดเงินเดือนหรือถูกเลิกจ้างในช่วงที่โควิดระบาดหนัก การว่างงานแบบไม่ทันตั้งตัว ทำให้แพลนเกษียณอายุอาจต้องชะงัก หลายคนต้องดึงเงินที่ตั้งใจเก็บไว้ใช้ตอนเกษียณออกมา แถมยังต้องแบก “หนี้สิน” ซึ่งเป็นภาระหนักสำหรับพวก Gen X เอาไว้ด้วย

ผลสำรวจของ New York Life ระบุว่า 34%* ของคน Gen X กำลังดูแลพ่อแม่รุ่น Baby Boomers ต้องแบกรับหนี้จากการจำนอง เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา และดอกเบี้ยบัตรเครดิตยาวเป็นหางว่าว เพื่อชีวิตที่ดีของทุกคนในครอบครัว
.
เผชิญหน้ากับปัญหาที่ยากจะควบคุม
มีคน Gen X เพียง 47%* เท่านั้นที่คิดว่าสุขภาพจิตของพวกเขาอยู่ในเกณฑ์ดี-ดีเยี่ยม ในขณะที่อีกจำนวนนึงรู้สึกเครียดเรื่องการเงิน เพราะแผนออมเงินในกรณีฉุกเฉินลดลงเรื่อยๆ ไหนจะสภาพแวดล้อมที่ทรุดโทรม เช่น สภาวะสังคม, มลพิษ, ฝุ่น PM2.5 หรือขยะล้นเมือง นอกจากอายุที่เพิ่มขึ้นก็ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่พร้อมเพิ่มความเสี่ยงให้ร่างกายมากขึ้นไปอีก
.
ถึงไม่ใช่ตัวหลัก แต่ยังเป็น “สายซัพ” ที่ดีที่สุด
แม้ว่าในอนาคต Gen X อาจไม่ใช่กลุ่มคนที่คอยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่พวกเขาจะเป็น “เดอะแบก” รุ่นยอดพีระมิด ที่ไม่ยอมแพ้กับความไม่แน่นอน ทั้งด้านความมั่งคั่ง การปฏิวัติทางเทคโนโลยี หรือความไม่มั่นคงทางด้านสิ่งแวดล้อม แต่ Gen X แข็งแกร่งกว่าที่ใครคิด ด้วยประสบการณ์ที่สะสมมาก็ทำให้พวกเค้ากลายเป็น “หน่วยสนับสนุน” ที่พร้อมให้คำปรึกษาคนรุ่นต่อๆ ไป เพื่อสังคมที่ดีสำหรับทุกคนอย่างแท้จริง

 

Gen Y โลกสวยด้วยจอเรา

กว่า 80% ของ Gen Y ใช้เวลาอยู่กับหน้าจอหรือโซเชียลมีเดียเฉลี่ย 8 ชั่วโมงต่อวัน พวกเขาเติบโตควบคู่มากับการพัฒนาเทคโนโลยีที่ก้าวกระโดด ซึ่งการอยู่กับหน้าจอนานๆ ส่งผลกับพฤติกรรมของพวกเขาในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการชอป วิถีการทำงาน การเข้าสังคม รวมถึงการมองโลกที่ต่างจาก Gen ก่อนหน้า เพราะยิ่งเสพข่าวที่กว้างขึ้นผ่านจอมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้พวกเขากลายเป็นคนใจกว้างกับความหลากหลายและกลายเป็นคนรักษ์โลกมากขึ้นด้วย แต่ถึงกระนั้น ก็ยังส่งผลกับสุขภาพด้วยเช่นกัน ทั้งเบาหวานและภาวะซึมเศร้า

Gen Y ผู้โตมากับจอ

อย่างที่ได้เกริ่นไว้แล้วว่ากว่า 80% ของ Gen Y นั้นใช้เวลาอยู่กับโซเชียลมีเดีย หรือคิดเป็น 15.2 ล้านคนจากประชากร Gen Y ทั้งหมดในไทย ซึ่งการที่เติบโตมากับยุคเทคโนโลยี ทำให้ไม่ต้องปรับตัวเข้ากับอุปกรณ์ไฮเทคมากมาย ซึ่งไม่ว่าในอนาคตจะมีเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำแค่ไหน พวกเขาก็จะเป็นผู้นำเทรนด์อยู่เสมอ

นักชอปออนไลน์ต้องยกให้ Gen Y

ปัจจุบันรายได้ของประเทศต่อปีกว่า 25% หรือราวๆ 5 ล้านล้านบาทก็มาจากพวกเขา ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่งข้อพิสูจน์แล้วว่าคน Gen Y เป็นกำลังหลักสำคัญของประเทศจริงๆ และยิ่งช่วงโควิด-19 ระบาด ซึ่งทำให้พวกเขาเลือกที่จะกลับไปอยู่บ้านกับพ่อแม่หรือหาที่พักในราคาประหยัด ส่งผลให้พวกเขามีเงินก้อนที่จะเก็บและชอปต่อได้อีกเป็น 10 ปี

เมื่อต้องเจอแรงปะทะของคนรุ่นก่อน

การใช้โซเชียลมีเดียมากที่สุด ทำให้คน Gen Y เชื่อว่าโลกสามารถดีได้มากกว่านี้ในอนาคต พวกเขาจึงเริ่มการวิพากษ์วิจารณ์ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย
และช่วยสอดส่องและเป็นหูเป็นตาให้กับสังคมนี้ ดังนั้นจึงเกิดการถกเถียงประเด็นใหญ่ๆ อยู่หลายครั้ง ทั้งกับคน Gen Yและคน Gen อื่นๆ ด้วยกันเอง

เรื่องเงินผ่านจอ

คน Gen Y นอกจากจะใช้เวลาในจอไปกับงานประจำ การวิพากษ์วิจารณ์ พวกเขายังแบ่งเวลาให้กับชีวิตส่วนตัว นั่นคือการสร้างตัวตนในโซเชียลมีเดีย เพื่อให้มีชื่อเสียงและกลายเป็นอีกช่องทางในการหาเงินเข้ากระเป๋าอีกด้วย เพราะ Gen Y นี่แหละคือนักสร้างคอนเทนต์สุดครีเอทในยุคที่โซเชียลมีเดียกำลังครองเมือง

ไม่สนโลกแต่รักษ์โลก

ด้วยความที่ Gen Y ได้เห็นบทเรียนทางด้านสังคมและเศรษฐกิจมาเยอะ อาทิ วิกฤตต้มยำกุ้ง วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศและภัยพิบัติธรรมชาติอยู่หลายครั้ง ทำให้พวกเขาต้องตระหนักแล้วว่าจะอยู่ร่วมกับโลกใบนี้ในอนาคตอย่างไร

ซึ่งความไม่สนโลกที่ว่านั้น หมายถึงการที่คน Gen Y ไม่ชอบการออกนอกบ้านและมีสังคมส่วนใหญ่ในโซเชียลมีเดีย พวกเขารับรู้ถึงปัญหาต่างๆ ของสังคมผ่านจอ ทำให้กว่า 63% ของคน Gen Y ตระหนักถึงสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติ และ 90% มีแนวโน้มจะลงทุนกับบริษัทที่มีเป้าหมายช่วยเหลือสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งยังส่งผลกับพฤติกรรมการท่องเที่ยวที่หันไปใกล้ชิดกับธรรมชาติมากขึ้นด้วย

สุขภาพที่ถดถอยแต่อายุยืนของ Gen Y
โรคภัยต่างๆ ที่รุมเร้า ขึ้นอยู่กับการใช้ชีวิตของพวกเขาเป็นหลัก เพราะกว่า 73% ของคน Gen Y ทำงานมากกว่า 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และ 26% ทำงานสองกะ ทำให้ไม่มีเวลาออกกำลังกายหรือแม้แต่ไปหาหมอและส่งผลให้พวกเขาเกิดภาวะซึมเศร้าและเป็นโรคเบาหวานได้

แต่ด้วยความที่เทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นมามาก เช่น สามารถเช็คสุขภาพเบื้องต้นผ่านจอมือถือและนาฬิกา ทำให้คาดการณ์ว่าพวกเขาจะมีอายุยืนถึง 90 ปี

 

อนาคตในโลกเสมือนจริงของ Gen Z

คน Gen Z ผู้เกิดมาพร้อมโลก Digital ที่กำลังก้าวเข้าสู่วัยทำงาน และเป็น “แรงงานหลัก” ของสังคม แม้ว่าคน Gen Z จะปรับตัวเข้ากับสิ่งใหม่ๆ อย่าง Blockchain หรือ NFTs ได้เร็วจนใช้เป็นช่องทางในการสร้างรายได้สำหรับพวกเขา แต่รู้หรือเปล่าว่าวิกฤตการเงินโลก (GFC) จนถึงการระบาดครั้งใหญ่ของโควิด-19 อาจจะทำให้โอกาสในการทำงานของคน Gen Z นั้นไม่ง่ายอย่างที่คิด
เริ่มทำงานในวันที่เศรษฐกิจโลกถดถอย

คน Gen Z ที่อายุมากที่สุด (ประมาณ 24 ปี) กำลังเข้าสู่วัยทำงานท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่กำลังถดถอย พวกเขาหลายคนจึงกำลังตกที่นั่งลำบาก มีโอกาสหางานได้ยาก รวมถึงจะเกิดการว่างงานสูงมาก ส่งผลให้รายได้เฉลี่ยในอนาคตของคน Gen Z ลดลงตามไปด้วย

โดย Allianz Economic Research ระบุว่า ในปัจจุบันกลุ่มคน Gen Z ที่ได้รับผลกระทบเรื่องรายได้ [1] ต้องใช้เวลา 1-2 ปี กว่ารายได้จะกลับมาอยู่ในเรทตั้งต้นปกติ

Gen Z หนี “ถังแตก” ด้วยการปรับตัว

เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาด้านการเงินในอนาคต รวมถึงการว่างงานในระยะยาว สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับ Gen Z ก็คือการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงาน ด้วยการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เช่น การเทรดเงินดิจิตอล หรือการเรียนรู้วิชาชีพเฉพาะทางที่จะเกิดขึ้นใหม่ในอนาคต

ซึ่งการสำรวจของ Capitalize พบว่า 56% [2] ของคน Gen Z ที่อายุ 18 ปีขึ้นไป หันมาใช้ Cryptocurrency และ NFTs ในการออมเงิน โดยไม่ลืมพิจารณาความเสี่ยง และเรียนรู้ที่จะใช้เทคโนโลยีเปลี่ยนวิถีชีวิต การทำงาน และแผนทางการเงิน จนกลายเป็น “หนทางเอาตัวรอด” ของพวกเขานั่นเอง

Gen Z กับการดูแลสุขภาพกาย-ใจให้สมดุล
แม้ว่าหลายๆ อย่างรอบตัวคน Gen Z จะดูเพียบพร้อมสำหรับพวกเขา แต่นั่น กลับทำให้พวกเขาเติบโตมากับความเครียด ทั้งจากตัวเองและจากแรงกดดันของคน Gen อื่นๆ ซึ่งทำให้พวกเขากลายเป็นคนที่ใส่ใจกับการดูแล ‘สุขภาพจิต’ มากพอๆ กับสุขภาพกาย โดยพยายามเข้าร่วมกิจกรรมที่ส่งเสริมสุขภาพจิตและหาทางบำบัดความเครียดของตัวเองอย่างสม่ำเสมอ

หากกำลังสงสัยว่าคน Gen Z ใช้เวลาว่างไปกับการทำอะไรบ้าง? ก็สามารถติดตามพวกเขาได้จากเทรนด์ในโซเชียลมีเดีย เช่น IG หรือ TikTok ซึ่งกว่า 42% [3] พวกเขาใช้เวลาไปกับออกกำลังกายที่บ้าน รวมถึงการทำกิจกรรมสร้างสรรค์ เช่น ปักผ้า วาดภาพ หรือทำคอลลาจ (ศิลปะของการตัดแปะ) เพื่อบาลานซ์สุขภาพกายและใจให้สมดุลที่สุด

 

อนาคตของ Gen Z กับการใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมที่ย่ำแย่

นอกจากปัญหาการงานและการเงินที่รุมล้อม ยังมีปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ยังรออยู่ พวกเขาไม่เพียงแต่โฟกัสโลกที่สิ่งแวดล้อมถดถอยในปัจจุบันเท่านั้น แต่พวกเขายังพยายามมองไปถึงอนาคตไกลๆ ว่าจะสามารถปรับตัวและอยู่กับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนได้มากน้อยเพียงใด

79% ของคน Gen Z เลือกที่จะงดกินเนื้อสัตว์ 2-3 วันต่อสัปดาห์ เพื่อเป็นการช่วยลดการทำลายสิ่งแวดล้อมจากอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ ในขณะที่อีก 40% [5] เริ่มต่อต้าน Fast Fashion แล้วหันมาซื้อเสื้อผ้ามือสองมากกว่า เพราะการรักษ์โลกของพวกเขาไม่ใช่แค่การปลูกต้นไม้ แต่เป็นการปรับชีวิตประจำวันให้สอดคล้องกันตามไปด้วย

 

ขอบคุณข้อมูล FutureTales LAB by MQDC

 

Related Articles

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Back to top button
X
%d bloggers like this: