Biznews

ตรุษจีน+วาเลนไทน์ ทำสถิตินิวไฮในรอบ 10 ปี

ความพิเศษในช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้คือ คาบเกี่ยวกับวันแห่งความรักนั่นคือ 14 กุมภาวันวาเลนไทน์ ทำให้หลายสำนักคาดการณ์ว่าตัวเลขเงินสะพัดในปีนี้จะยิ่งคึกคักมากกว่าทุกปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะคนกรุงเทพมหานคร

ศุูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงานผลสำรวจพบว่าเม็ดเงินค่าใช้จ่ายช่วงเทศกาลตรุษจีนปี 2561 มีการเพิ่มขึ้นในส่วนของค่าใช้จ่ายจากทำบุญ/ท่องเที่ยว และเม็ดเงินแต๊ะเอีย ขณะที่เม็ดเงินค่าเครื่องเซ่นไหว้อาจอยู่ในภาวะที่ทรงตัว เนื่องจากความเคร่งครัดในประเพณีที่ไม่เข้มแข็งเหมือนแต่ก่อน ทำให้แต่ละครอบครัวใช้เม็ดเงินในส่วนนี้เท่าที่จำเป็น ขณะที่ราคาสินค้าเองก็ไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้นมาก ซึ่งปัจจัยดังกล่าว ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงสรุปว่าเม็ดเงินค่าใช้จ่ายช่วงเทศกาลตรุษจีนของคนกรุงเทพฯ รวมจะอยู่ที่ประมาณ 13,440 ล้านบาทขยายตัวเพิ่มร้อยละ 4.3 (YoY) คาดว่าในระยะข้างหน้า เม็ดเงินค่าใช้จ่ายในส่วนของการไหว้ตรุษจีน อาจมีแนวโน้มปรับลดลง ตามจำนวนคนจีนรุ่นก่อนที่มีบทบาทนำด้านการจัดเตรียมพิธีไหว้ที่มีแนวโน้มลดลง และถูกทดแทนด้วยคนรุ่นใหม่ที่ไม่เคร่งครัดประเพณี ซึ่งปัจจัยดังกล่าว นับเป็นโจทย์ที่ท้าทายของธุรกิจในการวางกลยุทธ์ ให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมการตลาดที่อาจเปลี่ยนไป โดยเฉพาะการดึงคนรุ่นใหม่ที่มีความหลากหลายและไม่ยึดติดกับประเพณีเดิม รวมถึงบางกลุ่มก็พร้อมที่จะไม่สืบทอดต่อไปให้มาใช้บริการ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีการวิเคราะห์สถานการณ์ในช่วงเทศกาลตรุษจีนปี 2561 เฉพาะในส่วนของคนไทยเชื้อสายจีนในพื้นที่กรุงเทพฯ พบประเด็นที่น่าสนใจที่อาจเป็นข้อมูลสำหรับการวางแผนของผู้ประกอบการธุรกิจที่เกี่ยวข้องในปีนี้และระยะข้างหน้า ซึ่งมีดังนี้

กำลังซื้อช่วงตรุษจีนปี 2561…อาจให้ภาพรวมที่คึกคักเพิ่มขึ้น
ผลจากภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว ส่งผลให้ กำลังซื้อของประชาชนเริ่มปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนชั้นกลางขึ้นไป อย่างไรก็ตาม การที่กำลังซื้อในกลุ่มฐานรากยังไม่ปรับตัวดีขึ้นนัก อาจเป็นผลให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทศกาลตรุษจีนยังไม่ได้อานิสงส์ทั้งระบบ ซึ่งขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของคนไทยเชื้อสายจีนที่มีมุมมองต่อความสำคัญของแต่ละกิจกรรมอย่างไร โดยแยกได้เป็นดังนี้

ค่าใช้จ่ายทางตรง
ค่าใช้จ่ายด้านเครื่องเซ่นไหว้ ผลจากความเคร่งครัดในประเพณีที่เริ่มคลายลงจากคนรุ่นใหม่ ประกอบกับการปรับปริมาณเครื่องเซ่นไหว้ให้สอดคล้องกับสมาชิกในครอบครัวที่ลดลง จากการแยกครอบครัวของลูกหลาน ทำให้คนบางกลุ่มตัดสินใจที่จะประหยัดและควบคุมค่าใช้จ่ายให้ใกล้เคียงกับปีก่อน ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าว ส่งผลให้ผู้ค้าปลีกเครื่องเซ่นไหว้ มีการใช้กลยุทธ์การตลาดโดยปรับลดปริมาณหรือขนาดเครื่องเซ่นไหว้และตรึงราคาสินค้าให้อยู่ในระดับเดิม ขณะเดียวกัน ระยะหลังพฤติกรรมการซื้อจะมีก่อนเทศกาลหลายวัน (จากเดิมกระจุกในช่วงประมาณไม่เกิน 3 วันก่อนเทศกาลมาเป็นการทยอยซื้อล่วงหน้าตั้งแต่ 4 วันขึ้นไปจนถึงมากกว่า 1 สัปดาห์) อาทิ กระดาษเงินกระดาษทอง/ธูปเทียน ผักผลไม้หรือเนื้อสัตว์บางประเภทที่สามารถเก็บแช่เย็นไว้ได้นาน ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงราคาสินค้าที่อาจปรับเพิ่มขึ้นในช่วงใกล้วันเทศกาล หรือการได้สินค้าที่มีคุณภาพลดลงเนื่องจากมีคนซื้อในช่วงเดียวกันจำนวนมาก รวมถึงปัญหาจราจรติดขัดหากมีการกระจุกตัวซื้อสินค้าพร้อมกัน ดังนั้นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเครื่องเซ่นไหว้ จำเป็นต้องวางแผนจัดเตรียมสต็อกสินค้า เพื่อรับคำสั่งซื้อที่อาจจะเร็วขึ้นกว่าปีก่อนๆ ซึ่งจะเป็นโอกาสของผู้ประกอบการธุรกิจที่เตรียมพร้อมได้ถูกจังหวะก่อนใคร โดยคาดว่าเม็ดเงินค่าเครื่องเซ่นไหว้ในปีนี้ของคนกรุงเทพฯ จะอยู่ที่ประมาณ 5,970 ล้านบาททรงตัวใกล้เคียงกับปีก่อน

เงินแต๊ะเอีย ถือเป็นการให้กับญาติผู้ใหญ่ ลูกหลาน คนงาน ซึ่งช่วยสร้างความสัมพันธ์ ทำให้คนที่ให้ก็ยังให้อยู่ และกลุ่มคนที่ได้อานิสงส์จากการฟื้นตัวของธุรกิจก็อาจกลับมาแจกแต๊ะเอียมากขึ้น ทั้งในส่วนของเงินสดและทองคำ ซึ่งเม็ดเงินในส่วนนี้ คาดว่าจะถูกส่งผ่านไปยังธุรกิจต่างๆ อาทิ ร้านทอง การจับจ่ายซื้อสินค้าและรับประทานอาหารในห้างสรรพสินค้าและร้านค้าภายนอก รวมถึงการท่องเที่ยว/ทำบุญ ทั้งนี้คาดว่าเม็ดเงินส่วนนี้ในปี 2561 จะมีประมาณ 3,930 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.7 (YoY)
ค่าใช้จ่ายทางอ้อม

ค่าท่องเที่ยว/ทำบุญ ถือเป็นเม็ดเงินก้อนใหญ่อีกส่วนหนึ่งที่กระจายไปสู่ธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ เนื่องจากความเชื่อดั้งเดิมที่ไม่ว่าจะเกิดสถานการณ์ใด เศรษฐกิจจะดีหรือไม่ดีก็จะมีการขอพรและเสริมสิริมงคลให้กับครอบครัวและธุรกิจการค้า สำหรับในปีนี้ไม่มีเหตุการณ์พิเศษเช่นปีก่อน ทำให้เม็ดเงินส่วนนี้มีประมาณ 3,540 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.0 (YoY)

โดยสรุปแล้ว เทศกาลตรุษจีนปี 2561 คาดว่าเม็ดเงินค่าใช้จ่ายในกทม. จะอยู่ที่ประมาณ 13,440 ล้านบาทเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.3 โดยส่วนใหญ่เป็นการปรับเพิ่มในส่วนของเม็ดเงินแต๊ะเอียและเม็ดเงินด้านการท่องเที่ยว/ทำบุญ ขณะที่ค่าใช้จ่ายด้านเครื่องเซ่นไหว้ให้ภาพที่ทรงตัวใกล้เคียงกับปีก่อน

การเปลี่ยนผ่านเทศกาลตรุษจีนจากคนรุ่นก่อนสู่คนรุ่นใหม่…ผลักดันผู้ประกอบการเร่งปรับตัว
ในระยะต่อไปธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทศกาลตรุษจีน อาจมีความยากลำบากในการทำตลาด เนื่องจากคาดว่าเม็ดเงินค่าใช้จ่ายในส่วนของการไหว้ตรุษจีน อาจมีแนวโน้มปรับลดลง จากคนจีนรุ่นก่อนที่มีบทบาทนำด้านการจัดเตรียมพิธีไหว้ที่มีแนวโน้มลดลง และถูกทดแทนด้วยคนรุ่นใหม่ที่ไม่เคร่งครัดประเพณี และบางส่วนมีการแยกครอบครัวออกไป แต่ส่วนใหญ่ยังคงกลับมาทำพิธีที่บ้านพ่อแม่ ซึ่งนอกจากจะได้กลับมาพบปะญาติมิตรในครอบครัวแล้ว ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายด้วย ขณะเดียวกัน สำหรับครอบครัวคนรุ่นใหม่ที่ไหว้เองในครอบครัว สถานที่พักอาศัยใหม่อาจไม่เอื้ออำนวยต่อการประกอบพิธี อาทิ คอนโดมิเนียม อพาร์ทเมนต์ นอกจากนี้ หากวันไหว้ตรงกับวันทำงาน ก็อาจไม่สะดวกที่จะทำพิธีไหว้

นอกจากนี้ จากวิถีชีวิตที่เร่งรีบแข่งขันมากขึ้น การให้ความสำคัญต่อเทศกาลจึงลดลง จากเดิมที่ธุรกิจร้านค้ามีการหยุดช่วงตรุษจีนหลายๆวัน เพื่อทำกิจกรรม อาทิ ท่องเที่ยว ทำบุญ และให้โอกาสลูกจ้างได้พักผ่อน ก็ลดลงมาเหลือการหยุดประมาณ 1-2 วันเท่านั้นเนื่องจากกลัวเสียโอกาสทางการค้า ขณะที่คนรุ่นใหม่ที่ทำงานประจำก็มีการลาเฉพาะวันตรุษจีนวันเดียวเท่านั้น หรือบางรายอาจไม่ลาเลย ทำให้การกระจายเม็ดเงินไปสู่ธุรกิจอื่นๆปรับลดลง รวมถึงเม็ดเงินแต๊ะเอียที่บางส่วนอาจจะลดการให้ลงเนื่องจากลูกหลานเริ่มทำงานมีรายได้แล้ว

ซึ่งปัจจัยดังกล่าว นับเป็นโจทย์ที่ท้าทายในการวางกลยุทธ์ ให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมการตลาดที่อาจเปลี่ยนไป ที่สำคัญพอสรุปได้ ดังนี้

กลยุทธ์สำหรับเครื่องเซ่นไหว้
กลยุทธ์การเข้าถึงสินค้าที่ง่าย สามารถซื้อสินค้าได้ในที่เดียว จากเดิมที่บางส่วนต้องไปหลายๆแห่งจึงจะได้ของครบ หรือการนำเสนอสินค้าที่ปรุงสำเร็จมากขึ้นเพื่อลดขั้นตอน ซึ่งนอกจากตอบโจทย์คนรุ่นใหม่แล้ว ยังสามารถตอบโจทย์คนรุ่นก่อนที่มีอายุและไม่สะดวกที่จะปรุงเครื่องเซ่นไหว้เอง (แต่ของต้องเน้นคุณภาพ ซึ่งเป็นปัจจัยที่คนให้ความสำคัญมาก) รวมถึงมีบริการโทรสั่งและจัดส่งเพื่ออำนวยความสะดวกหากไม่ตรงกับวันหยุด รวมถึงธุรกิจต้องสามารถเตรียมชุดเซ่นไหว้ในระยะเวลาไม่นานเกินไปภายหลังการสั่งซื้อ เนื่องจากบางครั้งคนรุ่นใหม่อาจเปลี่ยนใจจัดพิธีไหว้โดยไม่ได้วางแผนล่วงหน้า

กลยุทธ์สร้างความแตกต่าง จากการที่ไม่เคร่งครัดทางด้านประเพณีสูงเท่าคนรุ่นก่อน กลุ่มนี้จึงมองหาวัตถุดิบเครื่องเซ่นไหว้ให้เข้ากับสถานการณ์หรือรสนิยมของตนเอง อาทิ การปรับเปลี่ยนเครื่องเซ่นไหว้ให้เหมาะกับสุขภาพมากขึ้น อาทิ เพิ่มอาหารทะเลจากเดิมที่เน้นเป็ด ไก่ หมูหรือการใช้ขนมรูปแบบที่ชอบแทนขนมเทียน/ขนมเข่ง หรือขนมถ้วยฟูแบบเดิม นอกจากนี้อาจมีการปรับลดจำนวนการเผากระดาษเงินกระดาษทองที่เป็นมลพิษลงด้วย ดังนั้นการจัดชุดเครื่องเซ่นไหว้อาจนำเสนอชุดเซ่นไหว้เล็กๆ แต่มีการเพิ่มสินค้าทดแทนเครื่องเซ่นไหว้ดั้งเดิม ตามรสนิยมของแต่ละคน ซึ่งเครื่องเซ่นไหว้ชุดเล็กยังอาจเหมาะสำหรับคนรุ่นใหม่ ที่พักอาศัยอยู่ตามคอนโดมิเนียมที่สามารถนำไปไหว้ศาลพระภูมิเจ้าที่ได้อันเป็นการลดข้อจำกัดด้านที่พักไม่อำนวยได้

กลยุทธ์สำหรับกิจกรรมอื่นๆ
สำหรับการดึงเม็ดเงินในช่วงเทศกาลตรุษจีนให้ไปสู่ธุรกิจอื่นๆ นอกเหนือจากเครื่องเซ่นไหว้นั้น นับเป็นการกระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพาเม็ดเงินส่วนเดียว โดยเป็นที่น่าสังเกตว่า ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ น่าจะมีโอกาสสูง เนื่องจากสามารถตอบสนองกิจกรรมอื่นๆที่เกี่ยวกับเทศกาลตรุษจีนได้หลากหลายมากกว่าการจำหน่ายเครื่องเซ่นไหว้ที่ได้รับความนิยมจากคนรุ่นใหม่อยู่แล้ว โดยกิจกรรมที่ทำกันเป็นครอบครัว อาทิ การรับประทานอาหาร ชมภาพยนตร์ ช้อปปิ้ง ดังนั้น การวางแผนกิจกรรมต่างๆเพื่อกระตุ้นให้คนมาใช้บริการ จึงต้องเป็นกิจกรรมที่เปิดกว้างสำหรับดึงคนรุ่นก่อนและรุ่นใหม่ให้มาใช้บริการ อาทิ กิจกรรมเสริมดวงเสริมมงคล แก้เคราะห์ต่างๆ รวมถึงการแสดงวัฒนธรรมที่เกี่ยวกับเทศกาลที่เหมาะกับคนรุ่นก่อน และการจัดกิจกรรมที่เหมาะสำหรับคนรุ่นใหม่ควบคู่กัน อาทิ การลดราคาสินค้าแผนกอื่นๆ การจัดซุ้มหรือเวทีเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับที่มาของประเพณี หรือความรู้ด้านการจัดชุดเซ่นไหว้รวมถึงการทำขั้นตอนการพิธีที่ถูกต้อง เพื่อให้คนรุ่นใหม่สามารถบันทึกรายละเอียด และสามารถนำไปใช้ในปีต่อๆไปได้ รวมถึงมีกิจกรรมตอบคำถามเพื่อแจกรางวัลต่างๆ ซึ่งจะช่วยดึงเม็ดเงินต่างๆช่วงเทศกาลตรุษจีนให้กระจายสู่ธุรกิจอื่นๆได้มากขึ้น

โดยสรุป เทศกาลตรุษจีนที่มีการใช้จ่ายเม็ดเงินมากที่สุดในบรรดาเทศกาลของคนไทยเชื้อสายจีน และเป็นที่ตั้งตารอของธุรกิจเกี่ยวข้องต่างๆ ที่คาดหวังต่ออานิสงส์ทางด้านการใช้จ่าย กำลังเวียนมาครบรอบในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2561 นี้ (พิธีไหว้ 15 กุมภาพันธ์) ซึ่งแม้ว่าการจัดเทศกาลจะอยู่ในช่วง 1-2 สัปดาห์ แต่เม็ดเงินส่วนนี้ขับเคลื่อนไปสู่ภาคธุรกิจเกี่ยวเนื่องต่างๆ ทั้งธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ ตลาดสด ธุรกิจท่องเที่ยว ร้านอาหาร อย่างไรก็ตาม คงเป็นโจทย์สำหรับผู้เกี่ยวข้องที่อาจต้องเตรียมรับมือกับความท้าทายในระยะข้างหน้า หากเม็ดเงินส่วนนี้จะปรับลดลง จากความเคร่งครัดในประเพณีที่ลดทอนลงจากคนรุ่นใหม่ โดยสิ่งที่ต้องทำลำดับแรกคือทำอย่างไรจึงจะจัดกิจกรรมกระตุ้นให้คนรุ่นใหม่ยังคงสืบทอดประเพณีต่อไป และท้ายที่สุดอาจต้องนำธุรกิจเพื่อเชื่อมโยงกับนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะคนจีนจากประเทศต่างๆให้มาใช้จ่ายในช่วงตรุษจีนในประเทศไทย

ขณะที่ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ระบุุถึงผลสำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคช่วงเทศกาลตรุษจีน 2561 พบว่า การใช้จ่ายช่วงเทศกาลตรุษจีนในปีนี้จะคึกคักมากกว่าเดิม คาดว่าจะมีเม็ดเงินสะพัดกว่า 56,860 ล้านบาท หรือ ขยายตัวเพิ่มขึ้น 3.52% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 10 ปี โดย 45.9% ระบุว่าจะใช้จ่ายซื้อสินค้าปริมาณเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ส่วนอีก 15.8 % บอกว่าซื้อของปริมาณเพิ่มขึ้นมาก

ขณะที่มูลค่าการใช้จ่ายสูงขึ้นทุกรายการ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจดีขึ้น มีรายได้ที่เพิ่มขึ้น และสินค้าในปีนี้ราคาแพงขึ้นด้วย ซึ่งการใช้จ่ายในช่วงเทศกาลตรุษจีน ส่วนใหญ่ซื้อของเซ่นไหว้ รองลงมาไปทำบุญ ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค ให้แตะเอีย ซื้อเสื้อผ้ารองเท้า และท่องเที่ยว ตามลำดับ

ส่วนการวางแผนไปท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลตรุษจีน ส่วนใหญ่ 76.3% ไม่มีการวางแผนท่องเที่ยว ส่วนอีก 23.7% วางแผนท่องเที่ยว โดย 85% จะเที่ยวในประเทศ โดยเดินทางท่องเที่ยววันที่ 16 ก.พ. และกลับวันที่ 18 – 19 ก.พ. โดยเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวและไปกับครอบครัว ขณะที่อีก 15% จะไปท่องเที่ยวในต่างประเทศ ซึ่งมีจำนวนมากขึ้นสูงขึ้นกว่าปีที่แล้ว ซึ่งประเทศที่จะไปเที่ยวส่วนใหญ่ยังอยู่ในเอเชีย เช่น จีน ฮ่องกง ญี่ปุ่น ไต้หวัน และเกาหลี

ส่วนในเทศกาลวันวาเลนไทน์ วันที่ 14 ก.พ.นี้ คาดว่าจะมีเม็ดเงินสะพัดกว่า 3,822.27 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 3.10% ซึ่งเป็นมูลค่าสูงสุดในรอบ 11 ปี โดยส่วนใหญ่ 53.1% จะมีการฉลองในวันวาเลนไทน์ส่วน 41.9% ไม่ฉลอง โดยการแสดงความรักนั้นส่วนใหญ่ 56.4% จะแสดงความรักกับคนรักรองลงมา 18.1% แสดงความรักกับพ่อแม่และ 7.8% แสดงความรักกับเพื่อน

ขณะที่ค่าใช้เฉลี่ยในปีนี้อยู่ที่ประมาณ 2,395 บาทต่อคน เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา แต่ส่วนใหญ่ 51.3% ยังคงซื้อของให้กันในปริมาณเท่าเดิม แต่มูลค่าสูงขึ้นเพราะ ส่วนใหญ่กว่า 53.6% เห็นว่าสินค้ามีราคาแพงขึ้น เศรษฐกิจกิจดีขึ้น รายได้เพิ่มขึ้น

ขณะที่ 12.4% ตอบว่ามูลค่าการใช้จ่ายลดลง เนื่องจากต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย และสินค้ามีราคาแพง ซึ่งใช้จ่ายส่วนใหญ่จะซื้อดอกไม้ รองลงมาเป็นเดินห้าง และซื้อของขวัญ แต่การใช้จ่ายในสองเทศกาลไม่ได้สนับสนุนกันเนื่องจากเป็นคนละกลุ่มกัน และในปีนี้วันวาเลนไทน์มาก่อนตรุษจีน ทำให้มีบางส่วนที่อย่างระมัดระวังการใช้จ่าย แต่โดยรวมแล้ว ทั้งสองเทศกาลที่คาดจะมีเงินสะพัดกว่า 60,000 ล้านบาท จะทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเพิ่มขึ้นกว่า 0.3%

Related Articles

Back to top button
X
%d bloggers like this: