ดร.เทียม โชควัฒนา (ตอนที่ 33)
หกห่วงชีวิต
จากยุค “ลี้เปียวฮะ” เรื่อยมาจนถึง “เฮียบฮะ” และ “เฮียบเซ่งเชียง” และที่สุดเป็นบริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด เป็นห้วงเวลาอันยาวนานของการต่อสู้ที่แบ่งได้เป็น 6 ช่วง
ช่วงที่ 1 ก่อนสงคราม เป็นช่วงการเรียนรู้ ข้าพเจ้าทำงานกับคุณพ่อ เวลานั้นข้าพเจ้าลำบากมาก งานก็หนักจริง ๆ คุณพ่อฝึกข้าพเจ้าให้อดทนให้ขยัน เวลานั้นข้าพเจ้าสุขภาพแข็งแรงมาก อะไร ๆ ก็ทำได้ ต่อมาเป็นพนักงานขาย ทำให้รู้จักตลาด รู้จักสินค้า รู้จักลูกค้า และมีโอกาสเข้าสมาคม มีเพื่อนฝูงมาก ช่วงนี้เป็นพื้นฐานที่ดีของชีวิต
ข้าพเจ้าแต่งงานเมื่ออายุ 17 ปี ยังทำงานไม่เต็มที่ เมื่อทราบว่าภรรยาจะมีบุตร ข้าพเจ้าจึงมีความทุกข์ว่า ข้าพเจ้าจะมีปัญญาเลี้ยงดูลูกเมียได้หรือไม่ ข้าพเจ้าจะต้องพยายามให้มากขึ้น ทำงานหนักให้มากขึ้น ในช่วงนั้นคุณพ่อของข้าพเจ้าเป็นผู้นำครอบครัว แม้ว่าคุณอาทุกคนจะให้ความเคารพคุณพ่อในฐานะพี่ชายคนโต แต่ครอบครัวกงสีใหญ่ทำให้เกิดความขัดแย้ง ซึ่งเป็นบทเรียนให้ข้าพเจ้าจัดการการค้าของกงสีได้อย่างถูกต้องต่อมา
ชีวิครอบครัวของข้าพเจ้าปประกอบด้วย คุณพ่อ น้อง 3 คน ภรรยาและลูก 4 คน ข้าพเจ้าได้ย้ายจากชั้นสองของร้านลี้เปียวฮะมาอยู่ตงเฮียงจั่ง เมื่อแต่งงาน ต่อมาย้ายมาอยู่มาเกงโจ่ย เมื่อมีลูกเพิ่มขึ้น
ช่วงที่ 2 ของชีวิตเป็นช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 และหลังสงคราม เป็นช่วงของการปฏิบัติและเติบโต ข้าพเจ้าเป็นเจ้าของกิจการเมื่ออายุ 26 ปี ร้านเฮียบฮะ ข้าพเจ้าได้เพิ่มการค้าจากร้านขายของชำเฮียบฮะ อีก 1 ร้าน คือ ห้างเฮียบเซ่งเชียง ทำการค้าขายสินค้าเบ็ดเตล็ดหลายชนิด สั่งสินค้าจากต่างประเทศ และเป็นผู้แทนจำหน่าย
ข้าพเจ้ามีประสบการณ์เพิ่มขึ้น เพราะทุกวันต้องขายสินค้า ซื้อสินค้าบางทีซื้อผิดก็มี ซื้อถูกก็มี นี่คือ ประสบการณ์ ทำให้ข้าพเจ้าสามารถตัดสินใจที่แม่นยำขึ้น ช่วงนี้เป็นพื้นฐานเสริมแน่นขึ้น หลังสงคราม ตลาดไม่ค่อยดี ข้าพเจ้าโชคดีซึ่งตามภาษาจีนเรียกว่า เฮง ข้าพเจ้าไปฮ่องกง ไปซื้อของหลายครั้ง สินค้าหลายอย่าง ทุกเที่ยวได้กำไรทั้งนั้น ไปญี่ปุ่นซื้อสินค้ามาก็เป็นที่นิยม เพราะข้าพเจ้ามีพื้นฐานที่ดี ประสบการณ์มาก ถ้าสั่งของมาแล้วรู้สึกว่าสินค้าขายช้าก็ต้องโฆษณา
เฮียบเซ่งเชียง มีแต่ลูกค้าในกรุงเทพฯ ก็ต้องขยายไปทั่วประเทศ ข้าพเจ้าได้ตั้งหน่วยรับออเดอร์ต่างจังหวัด ส่งคนไปขาย ทุกอย่างได้รับผลสำเร็จ
ข้าพเจ้าเปิด ห้างฮิบฮิงฮอง ที่ฮ่องกง ห้างเฮียบไถ่ ที่ซัวเถา ห้างเคียวโกะ ที่ญี่ปุ่น
เฮียบเซ่งเฮง เป็นผู้แทนจำหน่ายกระติกน้ำตรานกยูง เสื้อยืดตราลูกไก่ ปากกามาเซลล์ ฯลฯ
ข้าพเจ้าร่วมทุนกับเพื่อน ๆ เปิดห้างเกียงแซ ทำธุรกิจการเกษตร เปิดห้างเวสเทิร์น (Western) ทำสินค้าเครื่องเหล็ก ฯลฯ
ข้าพเจ้ามีครอบครัวที่อบอุ่น มีลูก 8 คน อยู่บ้านที่วัดเกาะ ท่าน้ำสวัสดี เมื่อสงครามไปอยู่ที่บางแวก กลับมาที่วัดเกาะ ภรรยาของข้าพเจ้าเป็นคนทันสมัย ครอบครัวของข้าพเจ้าจึงมีชีวิตที่ดี ลูกทุกคนได้เล่าเรียนในโรงเรียนที่ดี
ช่วงที่ 3 เป็นช่วงของการลงทุนและการผลิต ในช่วงนี้ รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมการลงทุน มีสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนบีไอโอ (Bio) ประกอบกับสายสัมพันธ์ที่บริษัท สหพัฒนพิบูล มีกับประเทศญี่ปุ่นมั่นคง เหนียวแน่นเพิ่มขึ้น ลูกชายของข้าพเจ้า บุญยสิทธิ์ ได้ไปอยู่ที่ญี่ปุ่น 6 ปี มีความเข้าใจในความนึกคิดของญี่ปุ่นและสามารถประสานงานกับญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดี จึงทำให้เราได้ร่วมทุนก่อตั้งบริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) ต่อมา เราได้ขยายกิจการ จึงมีบริษัท ฟาร์อีสท์แอ๊ดเวอร์ไทซิ่ง บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง ฯลฯ
ข้าพเจ้าย้ายบ้านไปอยู่ที่ถนนสุขุมวิท 28 เรียกว่า บ้านบรรณสาร เป็นบ้านหลังใหญ่ มีที่ดิน 1 ไร่ครึ่ง ภรรยาของข้าพเจ้าชอบปลูกต้นไม้ ดอกไม้ เลี้ยงนก เลี้ยงไก่ ฯลฯ ที่บ้านมีกิจกรรมมากเพราะลูกชายของข้าพเจ้าเริ่มโตเป็นหนุ่ม ชอบชวนเพื่อนมาเล่นกีฬา ตีแบดมินตัน ขี่จักรยาน เล่นเปียโน เรียนพิเศษ ส่วนข้าพเจ้าก็มีพนักงานมาประชุมกันที่บ้านทุกวันเสาร์ – อาทิตย์ มร.โอกาดะ ส่งลูกชายมาฝึกงานที่ประเทศไทยและพักที่บ้านข้าพเจ้า มีลูกน้องมาอาศัยอยู่หลายคน บ้านบรรณาสารจึงเป็นบ้านที่อบอุ่น มีคนหนุ่มเข้ามาปรึกษางานกันคึกคัก
ช่วงนี้เป็นช่วงขยายตัวของเครือสหพัฒน์ คนหนุ่มรุ่นแรกได้แยกไปเปิดบริษัท โดยบริษัทสหพัฒน์เข้าหุ้นด้วย ต่อมา คนหนุ่มรุ่นที่ 2 ได้แยกไปเปิดบริษัท ICC บริษัท นิวซิตี้(กรุงเทพฯ) บริษัท ยูนีเวอร์สบิวตี้ บริษัท บางกอกรับเบอร์ บริษัท ซันคัลเลอร์ ซึ่งทุกบริษัทได้ขยายตลาดและเติบใหญ่ขึ้น
ช่วงที่ 4 ครอบครัวของข้าพเจ้าย้ายบ้านมาอยู่ที่พระโขนง ลูกกลุ่มเล็กของข้าพเจ้าได้เข้ามาช่วยงาน ศิรินาไปช่วยบุญปกรณ์ ณรงค์มาช่วยข้าพเจ้าที่สหพัฒน์ บุญเกียรติไปช่วยบุณยสิทธิ์ บุญชัยมาช่วยข้าพเจ้าทำบริษัทฟาร์อีสท์ฯ
ลูก ๆ ของข้าพเจ้าได้แต่งงานแยกย้ายไปตั้งครอบครัว ยกเว้นณรงค์ซึ่งอยู่กับข้าพเจ้าที่บ้านพระโขนง ครอบครัวของเราอบอุ่นเพราะบุญชัย บุญเกียรติ ปลูกบ้านอยู่ในพื้นที่ของบ้านพระโขนง ส่วนครอบครัวอื่น ๆ ก็มาพบกันบ่อย ๆ
ข้าพเจ้าได้ให้ครอบครัวทุกคนไปทานข้าวร่วมกันเดือนละครั้ง โดยพลัดกันเป็นเจ้าภาพ เพื่อให้ครอบครัวของลูก ๆ จะได้รักกัน หลานของข้าพเจ้ามี 17 คน เป็นหลานชาย 9 คน หลานสาว 8 คน
ช่วงที่ 5 ลูกของข้าพเจ้าได้เข้ามารับงานต่อจากข้าพเจ้า และกิจการการค้าของลูกเจริญเติบโตด้วยดี ทุกคนได้ขยายการค้าไปคนละหลายบริษัท บริษัทที่ขยายตัวมากที่สุดคือ บริษัทICCเพราะบุณยสิทธิ์ มีพื้นฐานการผลิต และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับญี่ปุ่น ทำให้มีญี่ปุ่นมาร่วมทุนด้วยหลายบริษัท บุณยสิทธิ์จึงเป็นผู้ดูแลสวนอุตสาหกรรมศรีราชา และดูแลการลงทุนของโรงงานร่วมทุน เราได้ร่วมทุนกับวาโก้ประเทศญี่ปุ่น ทำให้บุณยสิทธิ์สามารถตั้งโรงงานสิ่งทอเพิ่มขึ้นอีก เช่น บริษัท ธนูลักษณ์ บริษัท ประชาอาภรณ์ บุณยสิทธิ์ได้ตั้งโรงงานทำเครื่องสำอาง ILC ต่อมาได้ขยายเป็นบริษัทอื่น ๆ เช่น S&J ทำให้มีสินค้าเครื่องสำอางอยู่ในมือได้หลายยี่ห้อ
บริษัทของเครือสหพัฒน์ได้ทยอยเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ และทุกบริษัทมีผลประกอบการที่ดี
ในช่วงนี้ หลานของข้าพเจ้า 17 คน ได้เติบโตขึ้น บางคนได้เข้ามาช่วยทำงาน บางคนก็ยังเรียนหนังสืออยู่ ข้าพเจ้าได้ให้ครอบครัวของลูก ๆ พบกันประจำ นอกจากทานแชร์ด้วยกันเดือนละครั้ง จะพยายามให้ทุกคนได้ไปบ้านพักท่านประธานที่สวนอุตสาหกรรมศรีราชา เพื่อให้พวกเขาได้เรียนรู้การค้าของสหพัฒน์และสนิทสนมกันยิ่งขึ้น
ช่วงที่ 6 เป็นช่วงที่ข้าพเจ้ามีความสุข เพราะลูกหลานโตหมดแล้ว หลานชายคนโต พีรนารถ ลูกของบุณย์เอกได้แต่งงาน ข้าพเจ้ามีหลานสะใภ้ 1 คน เวทิต เข้ามาช่วยทำงาน ทุกคนตั้งใจทำงานให้ข้าพเจ้ามีความสุข ข้าพเจ้าได้มอบงานให้ทุกคน และให้ศิรินาไปจัดเรียงหลานข้าพเจ้า 17 คนให้นับเป็นพี่น้อง และบอกให้หลานทั้ง 17 คน ยึดคติการดำเนินชีวิตด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ขยันอดทน รักษาเครดิต คบคนดี ไม่เอาเปรียบคน ไม่สร้างศัตรู
ตัวข้าพเจ้าสนใจเรื่องทำการกุศล ได้ทำบุญ ทำให้กับสาธารณประโยชน์ให้มากที่สุด พนักงานจึงได้ร่วมกันก่อตั้ง มูลนิธิ ดร.เทียม โชควัฒนา ทำให้ข้าพเจ้า ในโอกาสที่ข้าพเจ้าได้รับ ปริญาดุษฏีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากมหาวิทยาลัยบูรพา เพื่อจะได้ร่วมกับข้าพเจ้าทำบุญสร้างกุศลให้คนรุ่นหลังต่อไป