ดร.เทียม โชควัฒนา (ตอนที่ 29)
บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด
ข้าพเจ้ามอบหมายให้ มร.โอกาดะ จากเคียวโกะ เป็นผู้ติดต่อบริษัทการค้าของญี่ปุ่น หนึ่งในผลงานของ มร.โอกาดะ คือการแนะนำให้ข้าพเจ้ามีโอกาสพบกับ มร.อาจิซึ โคบายาชิ ทายาทรุ่นที่สองของตระกูล โคบายาชิ ผู้ก่อนตั้งบริษัทไลอ้อน คอร์เปอร์เรชั่น แห่งประเทศญี่ปุ่น
เมื่อแรกความสัมพันธ์ของไลอ้อนและสหพัฒน์ เป็นเพียงการสั่งสินค้า ยาสีฟันไลอ้อน เพื่อมาทดลองเปิดตลาดในเมืองไทย โดยคิดว่าที่ญี่ปุ่นขายได้ที่เมืองไทยก็ควรขายได้ แต่ความจริงแล้วคนไทยไม่ชอบยาสีฟันรสหวาน จึงขายยากมาก มร.โคบายาชิ ประธานไลอ้อน ได้ส่งคนมาทำการวิเคราะห์วิจัย แล้วเปลี่ยนรสใหม่ให้เหมาะสม แต่ก็ยังขายไม่ได้
แม้การเริ่มต้นจะไม่ค่อยดี แต่ข้าพเจ้าได้มอบหมายให้บุณยสิทธิ์ ซึ่งขณะนั้นทำงานอยู่บริษัท เคียวโกะ เข้าไปเยี่ยมเยือนโรงงานไลอ้อน นั่นเป็นที่มาของการผลิต แชมพูไลอ้อนบรรจุผง ในประเทศไทย
แชมพูซองเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมเป็นวงกว้าง มีราคาซองละ 1 บาท ใช้ง่าย เข้ามาครั้งแรกขายหมดภายในเวลาอันรวดเร็ว
ต่อมา พ.ศ. 2502 รัฐบาลตั้งกำแพงภาษีสินค้าสำเร็จรูปสูงมาก ทำให้เราต้องตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง เป็นการพลิกโฉมธุรกิจครั้งสำคัญ คือ ขยายจากบริษัทผู้จำหน่ายมาเป็นผู้ผลิต และพัฒนาเป็นธุรกิจอุตสาหกรรมในที่สุด
เราก่อสร้างโรงงานชื่อว่า โรงงานไลอ้อน เพื่อสั่งแชมพูผงมาบรรจุซอง แทนการนำเข้าสำเร็จรูป เวลานั้น บุญยสิทธิ์ กลับมาจากญี่ปุ่น จึงเป็นผู้มีบทบาทในการก่อสร้างโรงงานแห่งนี้ตั้งแต่เริ่มต้น
การมีโรงงานทำให้ได้โอกาสที่จะทดลองทำผลิตภัณฑ์ที่เป็นของเราเองหลายชนิด แต่การผลิตสินค้า ต้องลองผิดลองถูกกันอยู่หลายปี
การลงทุนกับต่างชาติจะดีตรงที่ได้เรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เพราะญี่ปุ่นมีการพัฒนาสินค้าที่เป็นงานวิจัย เพื่อให้สินค้ามีคุณภาพเพิ่มขึ้นและต้นทุนต่ำลง มีการวิจัยตลาดแบบทดสอบคุณภาพสินค้า ทำให้สามารถสร้างสินค้าใหม่ ๆ ได้
ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2519 ข้าพเจ้าตัดสินใจให้ โรงงานไลอ้อน ผลิตผงซักฟอกชื่อ “เปาบุ้นจิ้น” โดยมีแนวคิดว่าจะต้องเป็นสินค้าที่สร้างกระแสสังคมให้เกิดความซื่อสัตย์ ยุติธรรม เพราะในยุคนั้น ประเทศไทยมีปัญหาเรื่องการเมือง เรื่องคอรัปชัน และประชาชนกำลังเดือดร้อน ประกอบกับข้าพเจ้าได้เดินทางไปไต้หวันและได้ดู “เปาบุ้นจิ้น” ที่โรงแรม จึงซื้อมาให้ช่อง 3 ฉาย ปรากฏว่าคนดูนิยมมาก แรก ๆ ฉายอาทิตย์ละ 2 วัน ต่อมามีทุกวัน เว้นวันเสาร์ – อาทิตย์
ข้าพเจ้าคิดว่า การทำสินค้าที่ตอกย้ำคุณธรรมเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับสังคม จึงเสนอให้ฝ่ายการตลาดใช้คำว่า เปาบุ้นจิ้น คุณภาพซื่อสัตย์ราคายุติธรรม ฝ่ายการตลาดพยายามคัดค้าน แต่ข้าพเจ้าตัดสินใจแล้ว และจะต้องทำให้ได้
ผงซักฟอกเปาบุ้นจิ้น ประสบความสำเร็จอย่างมาก ทำให้สหพัฒน์มีสินค้าอุปโภคที่สำคัญ สามารถแข่งกับบริษัทข้ามชาติได้อย่างเต็มภาคภูมิและอยู่ในตลาดมาจนถึงทุกวันนี้
ความสัมพันธ์กับไลอ้อน ส่งผลให้เครือสหพัฒน์มีการพัฒนาอย่างยั่งยืน คือมุ่งหน้าอุตสาหกรรมการผลิตสร้างสรรค์ จัดจำหน่ายด้วยตนเอง นำไปสู่ความนิยมของมหาชนด้วยเอกลักษณ์ของบริษัทคนไทย