difference-thinking

ดร.เทียม โชควัฒนา (ตอนที่ 14)

หลงจู๊

ระยะแรกที่เปิดห้างเฮียบเซ่งเชียงขึ้นที่ตรอกอาเนียเก็ง ข้าพเจ้ายังขาดความชำนาญในการขายสินค้าประเภทเบ็ดเตล็ด แม้จะมีเพื่อนฝูงอยู่ฮ่องกงก็ตาม ยังไม่ค่อยเข้าใจชนิดของสินค้า จึงจำเป็นต้องไปว่าจ้างคนนอกมาเป็นหลงจู๊คอยจัดการเกี่ยวกับการขายของทั้งหมด

ในเบื้องต้นข้าพเจ้ามีหลงจู๊คนหนึ่งเป็นคนขยันขันแข็ง แต่ขาดความคิดริเริ่ม เค้าชอบทำอะไรแปลกๆเสมอ หากเขามีเวลาว่างไม่รู้จะทำอะไร บางครั้งก็ถั่วมาตากแดด คือแม้จะเป็นคนชอบแสดงตนว่าขยันทำ แต่เลือกงานมาทำไม่เป็น มัคไปทำในสิ่งที่ไม่สำคัญอันมิใช่งานในหน้าที่ของตน
ข้าพเจ้าต้องยอมเสียเวลาพาเค้าไปติดต่อการค้าเพื่อจะสอนให้เขาได้เรียนรู้เรื่องงาน มีบางครั้งเมื่อไปซื้อสินค้า ข้าพเจ้าตกลงติดต่อจนเสร็จเรียบร้อยก็บอกว่า
“ประเดี๋ยวจะให้หลงจู๋มารับของและชำระเงิน”
แล้วจึงโทรศัพท์ไปตามตัวหลงจู๊มา ทั้งนี้ เพื่อกระตุ้นให้เขาเกิดความสนใจ เกิดความภาคภูมิใจ และคิดว่าถ้าข้าพเจ้าไม่ลงมือทำขนาดนี้ ก็คงไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวอะไร

ต่อมา ข้าพเจ้าก็ได้หลงจู๊อีกคนหนึ่งเป็นคนที่เคยทำงานเกี่ยวกับสินค้าประเภทเครื่องนุ่งห่มและเครื่องสำอางมา 6-7 ปี เป็นคนมีนิสัยดี
ในปีแรกที่เค้าทำงานให้แก่ทางร้าน ข้าพเจ้ารู้สึกว่าเขาเป็นคนมีความรู้มาก มีความเชี่ยวชาญในงานด้านนี้อย่างที่สุด จนข้าพเจ้าถึงกับออกปากชมเค้าต่อหน้าพี่ น้อง และลูกค้าซึ่งเป็นบุคคลภายนอกให้ได้ยินเนืองๆ

ที่เป็นเช่นนี้ เพราะว่าขณะนั้นข้าพเจ้าเองไม่มีความรู้ในงานด้านนี้เลย จึงมองเห็นว่าเขามีความสามารถราวกับเทวดา พอขึ้นปีที่ 2 ความคิดที่ว่าเขาเก่งกาจและมีความสามารถอย่างล้ำเลิศลดลงมา เห็นว่าเขามีความสามารถอย่างธรรมดา และพอขึ้นปีที่ 3 ข้าพเจ้ากลับเห็นเค้าเป็นคนล้าหลัง กระทั่งมีหลายครั้งความคิดเห็นของเราชักจะขัดกัน

ข้าพเจ้ามีนิสัยขี้บ่นเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว เมื่อเกิดความขัดใจ โต้แย้งกัน ดูว่าเขาไม่มีหัวคิด เพื่อนบางคนได้ยินเช่นนั้นจึงตำหนิว่า
“คุณเทียมช่างเป็นคนลืมง่ายเสียจริง ก่อนนี้เคยกล่าวชมเขาเสียยอดเยี่ยม มาตอนนี้ทำไมถึงไปตำหนิให้เขาเสียน้ำใจถึงขนาดนั้น”
คำทักท้วงของเพื่อนทำให้ข้าพเจ้าต้องเก็บเอามาคิดไตร่ตรองดูว่าตนเองเป็นคนชนิดที่เพื่อนฝูงตำหนิจริงหรือไม่ การที่ข้าพเจ้าชมหรือดูว่าเขาแต่ครั้งก่อน ข้าพเจ้ากระทำไปด้วยความสุจริตและจริงใจหรือ

ในที่สุด ก็พอจะมองเห็นที่มาและที่ไปของความรู้สึกสองส่วนที่แตกต่างกันระหว่างครั้งก่อนและครั้งหลังต่อมา
กล่าวคือ ในตอนแรกๆนั้น ข้าพเจ้าไม่มีความรู้ในวิธีค้าขายแบบใหม่ จึงเห็นเขาเป็นเทวดา การที่เขาเริ่มงานให้แก่ร้านของเราในยุคบุกเบิก รักษาผลประโยชน์ของร้านอย่างดี ไม่เคยเสียหาย นับได้ว่าเขาเป็นผู้มีบุญคุณซึ่งข้าพเจ้าไม่เคยลืมในข้อนี้
ทั้งข้าพเจ้าก็ไม่เคยมีเจตนาร้ายต่อเขา การที่เราต้องมามีอะไรขัดแย้งเป็นปากเป็นเสียงกัน สืบเนื่องจากความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันเป็นสำคัญ

เหตุที่ความสัมพันธ์ของเรากลายเป็นปัญหาในระยะต่อมาเป็นเพราะข้าพเจ้าพยายามศึกษาหาความรู้อยู่ตลอดเวลา ขณะที่เขาไม่พยายามศึกษาเรียนรู้ เวลาส่วนใหญ่สูญไปกับการเล่นไพ่ คบเพื่อนเที่ยวเตร่ ความคิดความอ่านและความรู้ของเค้าจึงมีแต่ทรงอยู่กับที่
สภาพที่เกิดขึ้นทำให้ความคิดและความรู้ของข้าพเจ้าก้าวทันเขา จากปีแรกที่เคยเห็นว่าเค้าเก่งจนกระทั่งตามเค้าทันในปีที่ 2 และล้ำหน้ายิ่งไปกว่าเขาในปีที่ 3

เมื่อเขามีความคิดและความรู้คงที่เนื่องจากขาดการศึกษาเพิ่มเติม ส่วนข้าพเจ้าหมั่นศึกษาหาความรู้ใหม่ๆ อย่างไม่หยุดนิ่ง ในฐานะที่ข้าพเจ้าเป็นนายจ้างต้องรักษาผลประโยชน์ของห้าง เมื่อระดับความรู้แตกต่างกันโอกาสที่จะคิดไม่เหมือนกัน และมองปัญหาคนละมุมก็ย่อมจะต้องเกิดขึ้นกลายเป็นความขัดแย้ง

ถ้าหากหลงจู๊ผู้นั้นมองเห็นความสำคัญของการศึกษาเรียนรู้ พยายามขวนขวายศึกษาสม่ำเสมอ ก็แน่ใจได้ว่าเขาจะต้องก้าวหน้าในการงานอย่างไม่ต้องสงสัย

การหมั่นศึกษาจะทำให้เขามีความคิดเห็นทันต่อยุคไม่ขัดแย้งแกความคิดของคนรุ่นใหม่ การงานที่รับผิดชอบอยู่ก็จะดำเนินไปด้วยดี เกิดความเข้าใจ มีการประสานงานที่ดี จะประสบความสำเร็จได้ในที่สุด

หลงจู๊ผู้นั้น เมื่อรู้ว่าข้าพเจ้าตำหนิเขาบ่อยครั้ง ก็เกิดความไม่พอใจ พอดีมีพรรคพวกของเขา ที่เลื่อมใสในฝีมือความสามารถมาชวนไปทำการค้าด้วย เขาจึงได้ขอลาออก

ข้าพเจ้าเห็นว่าเขามีส่วนในการบุกเบิกและริเริ่มงานต่างๆให้แก่ข้าพเจ้า เราลืมเขาไม่ได้อย่างเด็ดขาด ไม่มีเขาเราก็ไม่มีความรู้จนสามารถก้าวหน้ามาถึงเพียงนี้ ความไม่เข้าใจและขัดแย้งกัน เป็นความคิดทางการงานที่ไม่ตรงกัน มิใช่เพราะสาเหตุส่วนตัว

เมื่อเขาลาออกไปดี เราต้องมีใจนักเลงเพียงพอ ข้าพเจ้าจึงจัดงานเลี้ยงส่งพร้อมมอบเงินให้ก้อนหนึ่งเพื่อเป็นสินน้ำใจระหว่างกัน ข้าพเจ้าบอกกับเขาว่า

“ผมขอพูดอย่างจริงใจว่า ผมอยากจะเห็นคุณมีกิจการใหญ่โตยิ่งกว่าผม ส่วนเรื่องที่คุณเกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับตัวผมนั้น อีกหน่อยคุณก็คงจะเข้าใจถูกต้องว่าอะไรเป็นอะไร”

อีก 6-7 ปีต่อมา มีคนมาพูดให้ข้าพเจ้าฟังว่า หลงจู๊ผู้นั้นซาบซึ้งในน้ำใจของข้าพเจ้า และเข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างแท้จริง

Related Articles

Back to top button
X
%d bloggers like this: