difference-thinking

ดร.เทียม โชควัฒนา (ตอนที่ 13)

ห้างเฮียบเซ่งเชียง

ข้าพเจ้าได้อ้อนวอนคุณพ่อให้เพิ่มสินค้าชนิดอื่นในร้านเฮียบฮะ และได้จ้างหลงจู๊ 1 คนในร้านเฮียบฮะ เพื่อดูแลสินค้าชนิดใหม่ ส่วนพี่เฮงหมงก็ดูแลสินค้าประเภทโชห่วย

เมื่อแรกคุณพ่อไม่เห็นด้วย แต่เมื่อสั่งอะไรมาก็ขายได้ คุณพ่อจึงอนุญาตให้ข้าพเจ้าเปิดร้านเพิ่มอีกร้าน ให้เงินข้าพเจ้า 10,000 บาท การเปิดร้านขายของเบ็ดเตล็ดต้องใช้เงินมากกว่าร้านโชห่วย เพราะสินค้าชิ้นเล็กและมีราคาแพง ตลาดไม่ค่อยมีสินค้าขาย ภรรยาข้าพเจ้าจึงไปขอยืมเงินพ่อตาของข้าพเจ้าที่เป็นเจ้าของร้านทองมาให้ข้าพเจ้า 20,000 บาท และขอรับผิดชอบด้วยชีวิต

การเปลี่ยนชนิดสินค้าและวิธีการค้าเป็นห้างเฮียบเซ่งเชียง ล้วนดำเนินไปท่ามกลางการทำงานและประสบการณ์ที่ได้จากการปฏิบัติทั้งสิ้น
สิ่งที่คุณพ่อเคยทำถูกต้อง อาจจะไม่ถูกต้องก็ได้ เมื่อเวลาเปลี่ยนไปการทำการค้าขายสินค้าเดิมๆ อาจจะเจริญได้ยาก เพราะขาดความคิดริเริ่ม ขาดการพัฒนาให้งอกงาม ทุกอย่างต้องการการเปลี่ยนแปลง

ปีพ.ศ. 2485 ข้าพเจ้าเปิดร้านเฮียบเซ่งเชียง ที่บ้านเลขที่ 227 – 229 ตรอกอาเนียเก็ง ทรงวาด ดำเนินการค้าขายเบ็ดเตล็ดประเภทเสื้อผ้า ยารักษาโรค เครื่องกระป๋อง ฯลฯ ซึ่งในระหว่างสงคราม สินค้ามีจำนวนจำกัด ร้านข้าพเจ้าค่อนข้างใหญ่ มีสินค้าไม่พอขาย ข้าพเจ้าจึงเปลี่ยนวิธีทำงานด้วยการเป็นนายหน้าขายสินค้า คือเป็นผู้จัดซื้อสินค้าให้ผู้ขายอื่นๆ ทำให้การค้าดำเนินไปอย่างดี มีความเสี่ยงแต่ก็มีความสำเร็จ

ข้าพเจ้าและภรรยาได้จัดการสู่ขอเจ้าสาวให้น้องชายข้าพเจ้า 2 คนให้แต่งงานและย้ายบ้านไปอยู่ที่ชั้น 2 ของตึกเฮียบเซ่งเชียง ถนนทรงวาด
ปีพ.ศ. 2485 เป็นปีที่น้ำท่วมพระนคร ร้านเฮียบเซ่งเชียงที่ทรงวาดก็ท่วมด้วย ดีที่เรามีสินค้าน้อยจึงขนขึ้นไปชั้น 2 ทันต่อเหตุการณ์

ในช่วงนี้เป็นช่วงสงคราม น้องชายข้าพเจ้า คุณธนา ธนสารศิลป์ ช่วยดูแลเรื่องการเงิน คุณฮั่งตง น้องชายเป็นผู้ช่วยหลงจู๋ ฝึกงานเพื่อให้เกิดความชำนาญ ร้านเฮียบฮะและร้านเฮียบเซ่งเชียง มีชื่อเสียง ทำมาค้าขายได้ดี คุณพ่อข้าพเจ้าก็มีความสุข ไม่ต้องคอยเฝ้าโกดังและดูแลเงินสด
ในปีพ.ศ. 2486 ข้าพเจ้ามีลูกสาวเพิ่มหนึ่งคน คือ ศิรินา ปวโรฬารวิทยา เกิดที่บ้านวัดเกาะ ท่าน้ำสวัสดี ข้าพเจ้าต้องไปที่ท่าเรือเพื่อหาแม่นมมาช่วยเลี้ยงลูก

สงครามโลกครั้งที่สองเปิดฉากปีพ.ศ. 2482 และสิ้นสุดในปีพ.ศ. 2488 รวมเป็นเวลาทั้งสิ้นหกปี สงครามเกิดขึ้นจากการที่เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก และเกิดจากการเริ่มขยายตัวของอุตสาหกรรม ต้องการทรัพยากรจากต่างแดน

การค้าขายช่วงสงครามถือว่าเป็นโอกาสอันดี เพราะสินค้าขาดแคลน ผู้ใดสามารถหาสินค้ามาได้ก็จะขายได้กำไร ข้าพเจ้ามีความรู้น้อย แต่อาศัยความอ่อนน้อมถ่อมตน ช่างสังเกต และช่างถาม หมั่นเข้าสังคม จึงสามารถที่จะหาความรู้ และสินค้าแปลกใหม่หลายๆ ประเภทมาขายได้
ปลายปีพ.ศ. 2486 ระเบิดลงในกรุงเทพฯ รุนแรงขึ้น ครอบครัวข้องข้าพเจ้าและน้องชายทั้งสองตั้งพากันอพยพพาคุณพ่อหนีภัยสงคราม ไปอยู่ที่บ้านคลองบางแวก ฝั่งธนบุรี ข้าพเจ้ากับน้องชายทั้งสองต้องทำงานค้าขายที่กรุงเทพฯ ต้องอยู่เฝ้าสินค้าที่ร้านเฮียบเซ่งเชียง และจะผลัดเวรกันนั่งเรือกลับบ้านที่คลองบางแวกอาทิตย์ละครั้ง ข้าพเจ้าจักกลับคืนวันพุธต่อกับวันพฤหัสบดี ลงเรือแต่ละครั้งก็จะหอบทั้งของกิน ของเล่นเท่าที่พอหาได้ไปฝากลูกหลาน ซึ่งมีกันอยู่หลายคน

ในระหว่างสงคราม ข้าพเจ้ามีลูกชายเพิ่ม 1 คนคือ ณรงค์ โชควัฒนา คุณธนามีลูกชายคนโต 1 คน ชื่อ สมศักดิ์ ธนสารศิลป์ คุณฮั่งตง มีลูกสาว ชื่อ จิงจิง

ในระหว่างสงคราม ในร้านมีสินค้าไม่มากเพราะเรือต่างประเทศไม่ค่อยเข้าประเทศไทย ข้าพเจ้าต้องออกไปหาซื้อสินค้าทุกวัน ข้าพเจ้าจึงทำหน้าที่เป็นนายหน้าจองสินค้าแล้วรีบไปขายให้ร้านขายส่ง

ร้านเฮียบเซ่งเชียง จึงเป็นลักษณะทำการค้าแบบนายหน้า การเป็นนายหน้ามีผลดีจากเงื่อนไขหลายประการด้วยกัน ประการที่หนึ่งคือ ได้คบค้าสมาคมกว้างขึ้น เมื่อต้องการค้าขายให้มีกำไรก็ต้องพยายามหาลูกค้าให้มากที่สุด ประการที่สอง ทำให้รู้จักสินค้าหลายประเภท เมื่อยังไม่รู้จักก็จำเป็นต้องไปทำความรู้จัก เพราะเราค้าขายย่อมต้องการสินค้า

สงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง ครอบครัวของเราได้อพยพกลับมาอยู่ที่บ้านวัดเกาะ ท่าน้ำสวัสดี ข้าพเจ้ามีลูกชาย 3 คน ลูกสาว 2 คน ต่อมามีลูกชายเกิดในช่วงสงครามอีก 1 คน คือ ณรงค์ หลังสงครามสามปี เราก็ได้ลูกชายฝาแฝด คือบุญชัยและบุญเกียรติ

หลังจากข้าพเจ้าทำงานหนักติดต่อกันมาตั้งแต่ร้านลี้เปียวฮะ ร้านเฮียบฮะ จนมาถึงร้านเฮียบเซ่งเชียง ข้าพเจ้าอายุ 31 ปี เป็นครอบครัวที่มีฐานะขึ้น กิจการเริ่มจะไปได้ดี ลู่ทางติดต่อค้าขายมั่นคง

หากจะถามว่าข้าพเจ้าเป็น “นายทุน” หรือไม่นั้น ก็ต้องตอบว่าไม่ใช่ เพราะกิจการของข้าพเจ้าเป็นการซื้อมาขายไป ได้เงินจากทางนี้ก็เอาไปทางโน้น วนอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา ข้าพเจ้าจึงขอเรียกตนเองว่า “นายหมุน” คือ หมุนเงิน

เมื่อบุญชัย บุญเกียรติ อายุได้ประมาณ 3 ขวบ คุณพ่อของข้าพเจ้าก็ถึงแก่กรรม (พ.ศ. 2493) ข้าพเจ้ารู้สึกเสียใจมาก เพราะข้าพเจ้ารักและเคารพคุณพ่อมาก ข้าพเจ้าทำงานหนักเพื่อให้คุณพ่อภูมิใจ ข้าพเจ้าทำการค้าเพื่อให้คุณพ่อสบาย และตั้งแต่วันนั้น ข้าพเจ้าก็เป็นผู้นำของตระกูลฮกเปียว แซ่ลี้ รุ่นที่ 2 ในประเทศไทย

งานศพของคุณพ่อจัดที่วัดไตรมิตร ครบ 100 วัน มีเพื่อนและลูกค้ามาเคารพศพจำนวนมาก เราทำพิธีครบถ้วนตามประเพณีจีน ครอบครัวพี่น้องทั้งสองแม่มาพร้อมหน้ากันที่เมืองไทย เป็นการรวมตัวพี่น้องทั้งห้าคน เพราะพี่ชายคนโตที่เมืองจีนได้เสียชีวิตก่อนคุณพ่อ จึงเหลือพี่เฮงหมง ข้าพเจ้า คุณธนา ธนสารศิลป์ คุณมนู ก้องวัฒนา และฮั่งตง แซ่ลี้ เราเรียกรวมกันว่า โหงวฮก

พวกเรานำคุณพ่อไปฟังไว้ที่สุสานของสมาคมจีนแต้จิ๋ว ที่วัดดอน ยานนาวา สุสานเดียวกับคุณแม่สอน ทุกปีเวลาเช็งเม้งจะต้องรวมตัวกันไปไหว้เคารพบรรพบุรุษ เป็นการรวมญาติในกลุ่มโหงวฮก

ต่อมาสุสานวัดดอนเลิกไป ข้าพเจ้าจึงนำคุณพ่อและคุณแม่ไปฟังที่สุสานมังกรทอง จังหวัดชลบุรี และเตรียมสุสานสำหรับข้าพเจ้า ภรรยา และลูกหลานต่อไป

Related Articles

Back to top button
X
%d bloggers like this: