คิดการใหญ่มากกก ! เปิดวิชั่น King Of Nuts”โก๋แก่” กรุยทางสู่ยอดขายหมื่นล้าน!
“โก๋แก่มันทุกเม็ด” สโลแกนนี้ทุกคนคงเคยได้ยินและชินหูมาเป็นอย่างดี
โก๋แก่เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์หลักของบริษัท โรงงานแม่รวย ซึ่งก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2507 โดยคุณชูเกียรติ รวยเจริญทรัพย์ ผู้ชายที่รักการทำขนมเป็นชีวิตจิตใจ และสมัยนั้นใครทำอะไรอร่อยก็มักจะมีชื่อว่า “แม่” ทั้งนั้นจึงนำคว่า แม่ มารวมกับนามสกุลตัวแรก กลายมาเป็น “แม่รวย” นั่นเอง
สินค้าแรกเริ่มไม่ใช่ถั่วลิสง แต่เป็น ท็อฟฟี่นม ตังเม ข้าวเกรียบกุ้ง และถั่วแผ่น โดยคุณชูเกียรติรับหน้าที่ขนส่ง
ภรรยาดูแลการขาย และพี่ชายดูด้านการผลิต แต่ต่อมาต่างคนต่างอยากเติบโตในแนวทางของตัวเองจึงต้องแยกย้ายกันเดินคนละเส้นทาง โดยฝ่ายพี่ชายเอาสูตรขนมไป ส่วนคุณชูเกียรติรับในส่วนของโรงงานที่เป็นห้องแถวขนาด 2-3 คูหามา
ในเมื่อมีโรงงาน แต่ไม่มีสินค้า จึงต้องพยายามคิดสูตรขึ้นมาใหม่ และระหว่างนั้นเอง คุณชูเกียรติ ก็ไปเห็นถั่วเคลือบที่ต่างประเทศ ดูแล้วน่าสนใจจึงกลับมาคิดค้นสูตร โดยเน้นเอกลักษณ์ความเป็นไทย ให้ความสำคัญกับส่วนผสมอย่างกะทิสด เพื่อเพิ่มรสและกลิ่น ลองผิดลองถูกอยู่หลายเดือนจนลงตัว และกลายมาเป็น “ถั่วลิสงเคลือบกะทิ โก๋แก่” เมื่อปี พ.ศ. 2519 นับแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบัน
ส่วนที่มาของชื่อนั้น มาจากการที่คุณชูเกียรติชอบสะสมสตี๊กเกอร์และโปสการ์ด ขณะที่กำลังนั่งคิดชื่อสินค้าอยู่ก็เหลือบไปเห็นภาพการ์ตูนญี่ปุ่นในโปสการ์ด ซึ่งมีลักษณะแต่งกายคล้ายจิ๊กโก๋ สวมแว่นตากันแดด ความคิดจึงบังเกิดนำมาดัดแปลงเป็นตัวการ์ตูนติดด้านหน้าซองขนม คิดว่าชื่อต้องจำง่ายไม่ควรเกิน 2 พยางค์ และมีความสอดคล้องกัน จึงได้ชื่อ “โก๋แก่” มาวันนั้นเอง
แต่เส้นทางความสำเร็จก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ วันแรกขนสินค้าไปขายเต็มท้ายรถ กะว่าไม่พอขายแน่ ๆ แต่ขากลับขนมก็ยังเต็มท้ายรถเท่าขาไป เหตุที่ขายไม่ได้เพราะใส่ซองทึบ คนเห็นแต่ตัวการ์ตูน ก็ไม่กล้าซื้อ ภายหลังเลยเปลี่ยนมาเป็นซองใสและให้คนชิม เท่านั้นแหละทุกคนติดใจ จนขายดิบขายดีไปทั่ว และยิ่งขายดีมากยิ่งขึ้นเมื่อเปิดตัวหนังโฆษณาโดยใช้ตัวการ์ตูนดีดกีต้าร์ร้องเพลงที่เชื่อว่าทุกคนต้องร้องตามกันได้
41 ปีผ่านไป “โก๋แก่” เข้าสู่รุ่นที่สองโดยมีลูกชายเข้ามาช่วยดูแลธุรกิจ 3 คน คนแรกคือ “จุมภฎ” รับหน้าที่ดูแลการบริหารภาพรวมทั้งหมดและตลาดต่างประเทศ คนที่สองคือ “กฤษดา” รับหน้าที่ดูแลตลาดภายในประเทศ และคนที่สามคือ “เทิดทูล” รับหน้าที่ดูแลด้านการผลิต เป็นการแบ่งบทบาทความรับผิดชอบตามความชอบและความถนัดของแต่ละคนที่แตกต่างกัน
เส้นทางเดินของโก๋แก่ก็ไม่ได้ง่าย ที่ผ่านมาประสบปัญหาพอสมควร ที่เห็นชัดเจนคือ กรณีที่โลกโซเชียลมีเดียได้มีการแชร์คลิปวีดีโอ พบหนอนแมลงวันปนเปื้อนในถุงถั่วลิสงเคลือบแป้งอบกรอบ รสโนริวาซาบิ ของแบรนด์หนึ่ง จนสร้างความตกใจให้กับผู้ที่พบเห็นเป็นอย่างมาก ซึ่งโก๋แก่ ได้ออกมายืนยันว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะพบตัวอ่อนแมลงวันในผลิตภัณฑ์ เพราะขั้นตอนการผลิตมีการใช้ความร้อนมากถึง 150 องศาในการอบถั่ว ดังนั้น หนอนหรือตัวอ่อนไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้
ล่าสุด โก๋แก่ ประกาศกยุทธ์การดำเนินธุรกิจนับจากนี้จะมีการทำธุรกิจที่ชัดเจนขึ้นด้วยการแยกหมวดหมู่สินค้าอย่างชัดเจน ภายใต้กลยุทธ์ Semi Brand Segmentation เพื่อสื่อสารการตลาดไปยังผู้บริโภคได้อย่างตรงตัว ด้วยการเพิ่มไลน์สินค้า ในกลุ่มถั่วลันเตาภายใต้แบรนด์โก๋แก่ซึ่งจะเป็นสินค้าหลักในการทำตลาดปีนี้ พร้อมทั้งตั้งเป้าหมายยอดขายให้ได้ 10,000 ล้านบาทในอีก 10 ปีข้างหน้า ขณะที่สิน้ปีนี้ตั้งเป้าไว้ที่ 3,000 ล้านบาท เพิ่มข้ึนจากปีก่อนที่มียอดขาย 2,600 ล้านบาท
กฤษดา รวยเจริญทรัพย์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท โรงงานแม่รวย จำกัด ในฐานะเจน 3 ของตระกูล บอกว่า ปีนี้โก๋แก่มีแผนที่จะรีเฟรชแบรนด์ใหม่ และเพิ่มไลน์สินค้า โดยเปิดตัว “โก๋แก่ลันเตา” และใช้พรีเซ็นเตอร์ในการส่งเสริมการตลาด ซึ่งได้ตกลงให้ “เป๊ก ผลิตโชค อายนบุตร” ทำหน้าที่เป็นพรีเซ็นเตอร์ ให้กับผลิตภัณฑ์ “โก๋แก่ลันเตา” เนื่องจาก เป็ก ผลิตโชค เป็นบุคคลที่มีบุคลิกสนุกสนาน มีแฟนคลับที่หลากหลาย ตั้งแต่เด็กวัยรุ่นไปจนถึงวัยทำงาน สามารถช่วยสื่อสารคาแรคเตอร์แบรนด์ “โก๋แก่ลันเตา” ได้เป็นอย่างดี โดยกลุ่มเป้าหมาย คือ นักเรียน นักศึกษา และคนวัยทำงาน ทั้งนี้ เตรียมงบการตลาดในปีนี้ รวมทั้งสิ้นกว่า 100 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 3,000 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีก่อน ที่มียอดขายประมาณ 2,600 ล้านบาท
ที่ผ่านมา กว่า 10 ปี “โก๋แก่” เน้นสื่อสารกับกลุ่มลูกค้าผ่านผลิตภัณฑ์และคุณภาพของสินค้า โดยใช้สื่อไวรัลคลิป ที่ไม่ได้พูดถึงแบรนด์ตรงๆ สื่อสารแพคเกจจิ้งผ่านบรรจุภัณฑ์ อย่างเช่น ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ถั่วเคลือบจะมีโลโก้ “โก๋แก่” ตัวใหญ่ถือป้ายปกติ ส่วนในกลุ่มถั่วเปลือยและถั่วพรีเมี่ยม โลโก้ “โก๋แก๋” จะไม่ได้โดดเด่น เพื่อให้มีตำแหน่งการตลาดชัดเจน โดยในช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจของโก๋แก่มีการเติบโตที่ดี เป็นตัวเลข 2 หลักทุกปี แม้จะเจอภาวะเศรษฐกิจก็ตาม และในปัจจุบัน โก๋แก่ เป็นผู้นำตลาดในผลิตภัณฑ์ถั่วทุกชนิด โดยภาพรวมมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 50%” สำหรับ ในปีนี้ “โก๋แก่” ปรับกลยุทธ์สินค้า “โก๋แก่ลันเตา” ด้วยการใช้พรีเซนเตอร์ คือ เป็ก ผลิตโชค เข้ามาช่วยสื่อสารถึงกลุ่มเป้าหมาย ที่เป็นกลุ่มวัยรุ่น วัยทำงาน อีกทั้ง เพื่อเป็นการรีเฟรชแบรนด์ โก๋แก่ ครั้งใหญ่ ในรอบ 10 ปี
เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ผู้บริโภคจะรู้จัก “โก๋แก๋” ในฐานะแบรนด์ถั่วอบกะทิ แต่เราได้ทำการขยายไลน์ผลิตภัณฑ์เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างเช่น รสกะทิ กาแฟ และ รสไก่ แต่ด้วยการที่ได้ทำการการศึกษาตลาดถั่วอย่างต่อเนื่อง พบว่านอกจากกลุ่มถั่วที่เราเรียกว่าเป็นสแน็คแล้ว ยังมีอีกกลุ่มหนึ่งในฐานะที่เป็นกับแกล้มได้อีกด้วย ประกอบกับผู้บริโภคเป็นคนละกลุ่มกัน โก๋แก่ จึงได้แบ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ออกเป็นกลุ่มถั่วเคลือบ (รสกะทิ กาแฟ) ถั่วเปลือย(ถั่วลิสงอบเกลือ ถั่วปากอ้าอบเกลือ) และกลุ่มถั่วพรีเมี่ยม ซึ่งจะมีราคาสูงขึ้นมาหน่อย (ถั่วอัลมอนด์ ถั่วพิสตาชิโอ้ เมล็ดมะม่วงหิมพานต์) โดยจะสังเกตได้จากการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่ต่างกันแต่มีเอกลักษณ์
กฤษดา กล่าวต่อว่า การเติบโตในช่วงที่ผ่านมาเกิดจากความแข็งแกร่งของแบรนด์ ซึ่งผู้บริโภคจะรู้ว่าถ้าคิดถึงถั่วต้องคิดถึงโก๋แก่ ประกอบกับมีการจัดกิจกรรม “Below the line ” ด้วยการออกบูธตลอดเวลา การใช้พรีเซ็นเตอร์ในครั้งนี้ ต้องการสื่อสารว่า โก๋แก่ มีโปรดักส์ไลน์อะไรบ้าง และเลือกชูสินค้าให้ชัดเจน ได้แก่ ถั่วลันเตา และ กลุ่มปากอ้าเคลือบ ในปี 2561 ส่วนแบ่งรายได้ของ “โก๋แก่” จะแบ่งออกเป็นถั่วเปลือย 25% ถั่วเคลือบทอดกับเคลือบอบ 40% และที่เหลือเป็นถั่วพรีเมี่ยม
สำหรับมูลค่าตลาดถั่วภาพรวม คาดว่าจะอยู่ที่ 5,000 ล้านบาท ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาไม่มีการเติบโต อาจจะมีบ้างแค่เพียง 1% เพราะเศรษฐกิจในไทยไม่ค่อยดี และยังไม่ค่อยมีสินค้าใหม่ออกสู่ตลาด ซึ่งปีนี้ คาดว่าน่าจะกลับมาโตได้มากขึ้น หลังจากที่โก๋แก่ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ คือ ถั่วปากอ้าเคลือบ และพัฒนาสินค้า “โก๋แก่ลันเตา” โดยยังได้ขยายโรงงานผลิตประมาณ 200 ล้านบาท เพื่อรองรับการเติบโตจากเดิมที่ผลิตได้อยู่ที่วันละ 25 ตัน ตอนนี้ขยายเป็นประมาณ 30 ตัน เน้นการใช้เครื่องจักรครบวงจรมากยิ่งขึ้น ซึ่งนอกจากการทำตลาดในประเทศแล้ว โก๋แก่ ยังมีการส่งออกไปยังตลาดโลกอีกด้วย โดยคิดเป็นสัดส่วน 20% ของยอดขายทั้งหมด
ปัจจุบัน “โก๋แก่” มีช็อป 9 แห่ง ประกอบด้วย ในกรุงเทพ 3 แห่ง คือ เอเชียทีค, เดอะมาร์เก็ต, จตุจักร จังหวัดเชียงใหม่ 4 แห่งประกอบด้วย เซ็นทรัล พลาซ่า เชียงใหม่แอร์พอร์ต, ออล วัน นิมมาน, เมญ่า และ Think Park จังหวัดชลบุรี 2 ช็อป ประกอบด้วย กฤษดาดอย (ตลาดน้ำ 4 ภาค) และเขาชีจันทร์ โดยปีนี้ เตรียมเพิ่มช็อป แต่ยังอยู่ในระหว่างการพัฒนาคอนเซ็ปต์ ให้ตอบรับนักท่องเที่ยวด้วย เพราะพบว่าผลิตภัณฑ์โก๋แก่เป็นที่นิยมในการซื้อกลับประเทศ จนติดอันดับในประเทศไทย
นอกจากนี้ ยังมีสินค้าเฟรชสแนค เช่น ไอศครีมถั่ว น้ำนมถั่ว บางสาขาจะเป็นเค้กชิฟฟ่อนสอดไส้ (ปังโก๋) ซึ่งกำลังพัฒนาคอนเซ็ปต์เฟรชสแนคนี้ให้เป็นร้านสแตนอโลน ซึ่งคาดว่าจะเปิดสาขาแรกในห้างได้ภายในปี 2562 นี้ อีกทั้ง ยังมีแผนที่จะขยายโรงงานไปยังประเทศไต้หวัน และ เวียดนาม ในอนาคตอันใกล้นี้อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม เจน 3 ของตระกูลแม่รวย บอกว่า ตลอด 18 ปีที่เขาเข้ามาช่วยงานครอบครัวแบบเต็มตัว สิ่งที่เขาภูมิใจสูงสุดคือ การทำตัวเลขยอดขายจาก 600 ล้านบาทในปี 2008 เพิ่มเป็น 2,600 ล้านบาทในปี 2018 และการที่เขาตั้งเป้าหมายพิชิตยอดขายให้ได้ 10,000 ล้านบาทในอีก 10 ปี ถือเป็นความท้าทายมากที่สุดในชีวิตของเขา ซึ่งการที่จะพิชิตยอดขายดังกล่าวได้ต้องมาจากการเดินหน้าออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในตลาดระดับล่างซึ่งมีมูลค่ามหาศาล โดยปีนี้จะเปิดตัวสินค้าใหม่ประมาณ 20 รายการเพิ่มจากปีที่แล้วเท่าตัว
นอกจากการเดินเครื่องเปิดตัวสินค้าใหม่ๆ ทั้งภายใต้แบรนด์โก๋แก่และแบรนด์ใหม่ๆ แล้ว เนื่องจากปัจจุบันโก๋แก่นำเข้าวัตถุดิบกว่า 90% ทำให้บริษัทมีแนวคิดที่จะสนับสนุนเกษตรกรในพื้นที่ต่างๆ ให้มาปลูกถั่วลิสงเพื่อป้อนให้กับบริษัทโดยตรงซึ่งจะเป็นการช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับพี่น้องเกษตรกรกระดูกสันหลังของชาติอีกด้วย ปัจจุบันมีพื้นที่ปลูกถั่วลิสงแถวภาคอีสานซึ่งยังมีปริมาณน้อยจึงพยายามขยับขยายไปยังภูมิภาคอื่นๆ อาทิ ภาคเหนือ และภาคอื่นๆ ซึ่งหากเกษตรกรท่านใดสนใจติดต่อโดยตรงได้ที่บริษัท
ถือเป็นวิชั่นที่ท่ท้าทายสำหรับผู้ชายที่อายุ 45 ปีที่ชื่อ กฤษดา รวยเจริญทรัพย์ ซึ่งเขาบอกว่าธุรกิจของเขามี 3 ขาที่มั่นคงนั่นคือ แบรนด์ที่มีเอกลักษณ์ โปรดักต์ที่ดีและการมีมาสคอตพร้อมกับสโลแกนที่เป็นแต้มต่ออยู่แล้ว อยู่ที่ว่าจะนำพาองค์กรที่บรรพบุรุษของเขาสร้างมากับมือเดินหน้าต่อไปได้อย่างไร เท่านั้นเอง
อนึ่ง บริษัท โรงงานแม่รวย จำกัด หรือ โก๋แก่ จดทะเบียนเมื่อวันที่ 22 มกราคม 2530 โดยมีนายชูเกียรติ รวยเจริญทรัพย์, นางจิรภรณ์ รวยเจริญทรัพย์ และนายจุมภฏ รวยเจริญทรัพย์ เป็นคณะกรรมการ ปัจจุบันทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท โดยแจ้งดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายขนมทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยมีผลประกอบการย้อนหลัง ดังนี้
ปี 2557 รายได้ 1,635 ล้านบาท กำไร 10 ล้านบาท
ปี 2558 รายได้ 1,855 ล้านบาท กำไร 10 ล้านบาท
ปี 2559 รายได้ 2,092 ล้านบาท กำไร 10 ล้านบาท
ปี 2560 รายได้ 2,092 ล้านบาท กำไร 6 ล้านบาท
ปี 2561 รายได้รวม 2,600 ล้านบาท