Biznews

กางผลสำรวจ ‘อะไรคือสิ่งที่พนักงานต้องการ’ หลังโควิด 19 บนวิถีชีวิตแบบปกติใหม่ 

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ที่เกิดขึ้นทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อวิถีการทำงานสู่รูปแบบการทำงาน “แบบปกติใหม่ (New Normal)” ขึ้น โดยล่าสุด “แมนพาวเวอร์กรุ๊ป” ได้ทำการสำรวจกลุ่มตัวอย่างมากกว่า 8,000 คนจาก 8 ประเทศครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วโลก เกี่ยวกับสิ่งที่พนักงาน (แรงงาน) ต้องการหลังโควิด-19 ทั้งด้านการดำเนินชีวิตและการทำงาน ชี้พนักงานราว 94 เปอร์เซ็นต์ มีความกังวลเกี่ยวกับการกลับไปทำงาน และด้านการรักษาไว้ซึ่งตำแหน่งงาน มีลำดับความสำคัญสูงสุดสำหรับพนักงานในทุกประเทศและภาคส่วนสูงถึง 91 เปอร์เซ็นต์ ยกเว้นพนักงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่ให้คุณค่าต่อความยืดหยุ่นมากที่สุด พร้อมแนะแรงงานทุกกลุ่มนำแนวทางประยุกต์ใช้ในยุควิถีชีวิตแบบปกติใหม่ เพื่อรับมือสถานการณ์อย่างระมัดระวัง

 แมนพาวเวอร์กรุ๊ป ในฐานะที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญตลาดแรงงานเชิงนวัตกรรมชั้นนำระดับโลก  ได้ทำการวิจัยสำรวจการทำงานรูปแบบใหม่ซึ่งเป็นข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่พนักงานต้องการหลังโควิด-19  โดยสำรวจพนักงานมากกว่า 8,000 คนจาก 8 ประเทศ ได้แก่ ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี เม็กซิโก สิงคโปร์ สเปน สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา โดยระบุว่านับตั้งแต่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 การวิจัยที่ได้ถูกดำเนินการเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2563 โดย Reputation Leaders โดยทำการสำรวจพนักงานอายุ 18 ปีขึ้นไปเฉลี่ยตามอายุ เพศ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพนักงานในทุกประเทศมีลำดับความสำคัญหลัก 3 ประการสำหรับบรรทัดฐานใหม่ในอนาคต  ได้แก่ 1. ความเป็นอิสระและสถานที่ทำงานในรูปแบบที่ปรับตามความต้องการของตนเองซึ่งให้โอกาสในการทำงานทางไกลเป็นบางครั้งแต่ไม่ใช่ตลอดเวลา การเรียนรู้ตามความต้องการ 2.โอกาสที่เพิ่มขึ้นในการเรียนรู้ในรูปแบบเสมือนจริงและพัฒนาทักษะเพื่อให้ยังคงถูกจ้างงาน และประการสุดท้ายคือชีวิตที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน  และ 3.การมุ่งเน้นที่การผสมผสานชีวิตการทำงานและครอบครัวในระยะยาว

อีกทั้งพนักงานส่วนใหญ่เชื่อว่าภาวะวิกฤตจากโควิด-19 ถือเป็นจุดสิ้นสุดของการทำงานประจำในแต่ละองค์กรและมองหารูปแบบการทำงานแบบผสมที่สามารถผสมผสานงานและบ้านตามข้อมูลจากงานวิจัยใหม่ของแมนพาวเวอร์กรุ๊ป (NYSE: MAN) และลำดับถัดมาจะเป็นเรื่องความกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของตนเองและครอบครัว พนักงานมีความกังวลมากที่สุดเกี่ยวกับการกลับไปทำงานในรูปแบบเดิม  รวมทั้งการสูญเสียความยืดหยุ่นที่พวกเขาเคยได้รับอนาคตสำหรับพนักงานโดยพนักงาน คือบทความฉบับที่สองของบทความในหัวข้อสิ่งที่พนักงานต้องการของแมนพาวเวอร์กรุ๊ป งานวิจัยชี้ให้เห็นว่านายจ้างจำเป็นต้องนำแนวทางการให้ความสำคัญแก่บุคลากรเป็นอันดับแรกมาใช้และพิจารณาใหม่เกี่ยวกับอนาคตของการทำงานที่เหมาะสมสำหรับองค์กรและบุคคล เช่น การให้ความสำคัญแก่สุขภาพ สวัสดิภาพและความรับผิดชอบด้านการให้การดูแล

“สิ่งเริ่มต้นในฐานะภาวะวิกฤตทางสุขภาพได้กลายมาเป็นภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจและสังคมในเวลาต่อมา แม้ว่าประชากรในสัดส่วนไม่มากนักจะติดเชื้อโควิด-19 แต่ทุกคนจะได้รับผลกระทบจากโควิด-19ในครั้งนี้”
โจนัส ไพรซิง ประธานบริษัทและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ แมนพาวเวอร์กรุ๊ปกล่าว

นอกจากนี้ ข้อมูลยังได้แสดงให้เห็นว่าพนักงานทั่วโลกรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับการกลับไปทำงาน – พวกเขามีความกังวลเกี่ยวกับสุขภาพและความมั่นคงด้านอาชีพของตนเองโดยมองหารูปแบบและแนวทางการทำงานที่มีความยืดหยุ่นซึ่งช่วยให้แรงงานสามารถสร้างความสมดุลระหว่างการทำงานที่ออฟฟิศและบ้านได้ดียิ่งขึ้น  โดยองค์กรต่างๆ ที่ให้ความสำคัญต่อสุขภาวะทางจิตใจและความยืดหยุ่น พร้อมยังแสดงให้เห็นถึงวิธีที่พวกเขาสร้างผลกระทบทางสังคมในช่วงเวลาที่ท้าทายจะอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุดที่จะดึงดูดและรักษาบุคลากรที่มีความสามารถพิเศษและทำให้พนักงานมีความเชื่อมั่นมีสุขภาพดีและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตาม ในภาวะการณ์ทางเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน ความสามารถในการทำงานมีความสำคัญมากที่สุดสำหรับพนักงาน โดยพนักงาน 9 ใน 10 คนระบุว่าการรักษาไว้ซึ่งตำแหน่งงานของตนมีความสำคัญมากที่สุด อย่างไรก็ตาม วิธีที่พนักงานรู้สึกเกี่ยวกับการกลับไปทำงานแตกต่างกันตามเพศและความก้าวหน้าในอาชีพ สรุปได้ดังนี้

  • พนักงานยุคเจเนอเรชั่นแซดและยุคมิลเลนเนียล: พนักงานยุคเจเนอเรชั่นแซดมีความกระตือรือร้นมากที่สุดที่จะกลับไปทำงานเพื่อพัฒนาอาชีพการงานและเข้าสังคมคิดเป็น 51 เปอร์เซ็นต์ พนักงานยุคมิลเลนเนียลมีความรู้สึกเชิงบวกน้อยที่สุดอยู่ที่ 38 เปอร์เซ็นต์
  • พนักงานยุคเจเนอเรชั่นเอ็กซ์และยุคบูมเมอร์: พนักงานยุคเจเนอเรชั่นเอ็กซ์ให้คุณค่าต่อการกลับมาทำงานเพื่อให้ความร่วมมือและจดจ่อกับงาน รวมทั้งพักจากความรับผิดชอบต่อครอบครัว พนักงาน
    ยุคบูมเมอร์เลือกการเข้าสังคมและการร่วมมือกับเพื่อนร่วมงานคิดเป็น 34 เปอร์เซ็นต์ นับเป็นเหตุผลสำคัญที่สุดในการกลับมาทำงาน
  • การแบ่งตามเพศ: ผู้ชายเกือบครึ่งหนึ่งราว 46 เปอร์เซ็นต์ มีความรู้สึกเชิงบวกเกี่ยวกับการกลับไปทำงาน ในขณะที่ผู้หญิงเพียงหนึ่งในสามคิดเป็น 35  เปอร์เซ็นต์  รู้สึกเหมือนกัน ผู้หญิงระบุต่ออีกว่ารู้สึกกังวลและประหม่ามากกว่าเกี่ยวกับการกลับไปทำงาน  ทั้งนี้ผู้ชายและผู้หญิงจัดอันดับให้การไม่ต้องเดินทางและการมีความยืดหยุ่นในการทำงานตามความสะดวกเป็นข้อดีอยู่ใน 3 อันดับแรกของการทำงานที่บ้าน
  • ส่วนพ่อแม่ที่ต้องทำงาน: ผู้ชายที่มีลูกจัดอันดับให้การใช้เวลากับครอบครัวเป็นข้อดีอันดับแรกของการทำงานทางไกล ผู้หญิงมีความรู้สึกเชิงลบมากกว่าเกี่ยวกับการกลับไปทำงานโดยมีความกังวลเพิ่มขึ้น  ทั้งนี้ในกลุ่มที่มีลูกอายุน้อยคิดเป็น  61 เปอร์เซ็นต์  สำหรับลูกอายุ 0-5 ปี คิดเป็น 53 เปอร์เซ็นต์  สำหรับลูกอายุ 6-17 ปี และ 50 เปอร์เซ็นต์ สำหรับลูกอายุ 18 ปีขึ้นไป

ทั้งนี้ ผลการวิจัยที่แมนพาวเวอร์กรุ๊ปหลังเกิดโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบระดับโลกต่องานทั้งด้านการรักษาไว้ซึ่งตำแหน่งงานของตนมีความสำคัญสูงสุดสำหรับพนักงานทั่วโลก  และความกังวลด้านสุขภาพ พนักงานกังวลใจมากที่สุดเกี่ยวกับการกลับไปปฏิบัติงานในรูปแบบเดิม โดยสูญเสียความยืดหยุ่นที่พวกเขาเคยได้รับ  และ 8 ใน 10 ต้องการความสมดุลเพิ่มขึ้นระหว่างงานและครอบครัวในอนาคต  ส่วน 43 เปอร์เซ็นต์ ระบุว่าพนักงานเชื่อว่าเหตุการณ์ดังกล่าวถือเป็นจุดสิ้นสุดของการทำงานในรูปแบบของการเข้างาน 9.00 น. และเลิกงาน 17.00 น. พนักงานส่วนใหญ่ต้องการเข้าปฏิบัติงาน ณ สถานที่ทำงาน 2-3 วันต่อสัปดาห์

จากข้อสรุปดังกล่าว สะท้อนให้เห็นว่าความต้องการของกลุ่มแรงงานนั้นมีสิ่งใดที่เป็นหัวใจหลักที่ส่งผลต่อวิถีการทำงานและดำเนินชีวิต ซึ่งผู้บริหารรวมถึงนักทรัพยากรบุคคลต่างๆ อาจจะนำผลการสำรวจครั้งนี้ไปวิเคราะห์ ประยุกต์และเตรียมแนวทางการทำงานเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและสอดคล้องกับวิถีชีวิตในยุค New normal ได้ไม่มากก็น้อย 

Related Articles

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Back to top button
X
%d bloggers like this: