กลุ่มธุรกิจ TCP ประกาศปรับโฉมองค์กร กรุยทางสู่บริษัทข้ามชาติ
กลุ่มธุรกิจ TCP ประกาศแผนปรับโฉมองค์กรครั้งใหญ่ นำเทคโนโลยีสมัยใหม่เสริมศักยภาพองค์กร เพิ่มขีดความสามารถพนักงาน สร้างโอกาสทางธุรกิจ และสนับสนุนการทำงานด้านการตลาดโกลเบิล กับสาขาในต่างประเทศ เพื่อก้าวสู่การเป็นบริษัทข้ามชาติ ด้วยงบลงทุนกว่า 1,300 ล้านบาท
นายสราวุฒิ อยู่วิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ TCP ผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายเครื่องดื่มภายใต้แบรนด์กระทิงแดง (เรดบูล) เรดดี้ โสมพลัส สปอนเซอร์ แมนซั่ม เพียวริคุ ซันสแนค และวอริเออร์ กล่าวว่า ในยุคที่ทุกอย่างในโลกกำลังถูกดิสรัป ทุกคนต้องปรับตัว การเตรียมคนให้พร้อมเพื่อเป็นพลังที่จะขับเคลื่อนองค์กรจึงเป็นสิ่งสำคัญ
ทั้งนี้ ด้วยวิสัยทัศน์ของกลุ่มธุรกิจ TCP ในฐานะคนไทยที่เป็นเจ้าของแบรนด์ระดับโลก ที่มีสาขาในต่างประเทศ และมีพันธมิตรทางธุรกิจอยู่ทั่วทุกมุมโลก จึงต้องทำงานอยู่บนมาตรฐานระดับโลกที่สูงที่สุดเพื่อนำพาเกียรติยศชื่อเสียงมาสู่ประเทศไทย
การปรับโฉมองค์กรสู่การทำงานบนแพลตฟอร์มดิจิทัล ถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนธุรกิจ 5 ปี ที่ได้ประกาศไว้เพื่อมุ่งหวังพัฒนาบุคลากรทุกระดับชั้นให้สามารถรับมือกับความท้าทายใหม่ๆ ด้านเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา รวมถึงมุ่งสร้างยอดขายของกลุ่มให้โตขึ้น 3 เท่าเป็น 100,000 ล้านบาท ก้าวไปสู่การเป็นบริษัทข้ามชาติ (Multinational Company) ของคนไทยอย่างแท้จริง”
ด้านนายประกรรษ์ จันทร์ทอง ผู้อำนวยการสายงานทรัพยากรบุคคลและธุรการ กลุ่มธุรกิจ TCP กล่าวว่า กลุ่มธุรกิจ TCP เป็นองค์กรใหญ่ที่มีคนหลากหลาย การหลอมรวมให้คนที่มากประสบการณ์กับคนรุ่นใหม่ มีความคิดและการกระทำที่คล้ายกันถือเป็นความท้าทายอย่างมาก
ดังนั้น จึงได้ออกแบบการทำงานขึ้นมาใหม่ ภายใต้แนวคิด 3C เพื่อให้พนักงานทุกคนได้ก้าวข้ามเฟรมเวิร์คเดิมสู่นวัตกรรมใหม่ ที่เกิดจากการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ากับกระบวนการทำงาน เพื่อพัฒนาศักยภาพของพนักงานให้มีความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ดึงดูดคนเก่ง และคนรุ่นใหม่ให้เข้ามาร่วมงานมากขึ้น เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจในระดับโลก
เริ่มจาก C 1 – เปลี่ยนรูปแบบสำนักงานใหม่ สู่การเป็นองค์กรแห่งการสร้างนวัตกรรม โดยลงทุนราว 740 ล้านบาท เพื่อสร้างสำนักงานใหม่ทั้งในไทยและต่างประเทศ รวมทั้งปรับปรุงสำนักงานเดิม โดยสำนักงานใหญ่ในประเทศไทยจะสร้างอาคารเพิ่มติดกับสำนักงานปัจจุบัน โดยออกแบบให้สอดรับกับการทำงานรูปแบบใหม่ กับแนวคิด Open Office พื้นที่ทำงานจึงเปิดโล่ง
นอกจากนี้ยังจัดสรรพื้นที่กว่า 30 % เป็นพื้นที่ส่วนกลางระหว่างแผนกเพื่อใช้เป็นที่พบปะ แลกเปลี่ยนความคิด รวมทั้งใช้จัดกิจกรรมสันทนาการต่างๆ ให้กับพนักงาน เพื่อให้เกิดความรู้สึกถึงความผ่อนคลาย นอกจากนี้ ยังมีการติดตั้งระบบเทคโนโลยีอันทันสมัย เชื่อมต่อการทำงานกับอุปกรณ์ของพนักงานทั้งในสำนักงานใหญ่ สาขาในต่างจังหวัด และสาขาต่างประเทศได้สะดวก รวดเร็วขึ้น
สำนักงานใหญ่แห่งใหม่จะสร้างบนเนื้อที่ราว 6 ไร่ มีความสูง 4 ชั้น เริ่มก่อสร้างในปี 2562 และคาดว่าจะแล้วเสร็จเปิดใช้งานได้ในปีพ.ศ. 2564 และภายหลังเปิดใช้สำนักงานใหญ่แห่งใหม่แล้ว สำนักงานปัจจุบันก็จะมีการปรับปรุงใหม่ ภายใต้แนวคิดเดียวกับสำนักงานแห่งใหม่ เมื่อสำนักงานเสร็จสมบูรณ์จะสามารถรองรับพนักงานได้เพิ่มขึ้นอีกราว 250 คน
C 2 – เปลี่ยนรูปแบบการทำงานใหม่ สร้างองค์กรยืดหยุ่นแต่ทรงพลัง เพราะทุกวันนี้จะเห็นว่านวัตกรรมเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ จึงนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพื่อให้รูปแบบการทำงานใหม่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยเราจะเปิดโอกาสให้พนักงานสามารถมี Virtual Office ที่เป็นเสมือนสำนักงานเคลื่อนที่ได้ เพียงแค่มีโน้ตบุ๊ค หรือโทรศัพท์มือถือ ก็สามารถที่จะสื่อสารข้อมูลผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต หรือประชุมทางไกลผ่านจอภาพ (Video Conferencing หรือ Teleconferencing) ส่งเอกสารแลกเปลี่ยนกัน และยังสามารถพูดคุยกันแบบเห็นหน้าได้ โดยไม่จำเป็นต้องเข้ามาที่สำนักงาน
“พนักงานอาจจะทำงานที่บ้าน หรือที่ co-working space ในเมืองที่บริษัทจัดหาให้ อยู่ต่างจังหวัด หรือแม้แต่ในต่างประเทศ ทำให้องค์กรสามารถดำเนินกิจการต่อไปได้โดยไม่สะดุด” นายประกรรษ์ กล่าว
นอกจากนั้นยังนำแนวคิดการทำงาน agile รวมทั้ง scrum มาใช้ทำให้เกิดการทำงานร่วมกันแบบ cross functional และ cross generation มุ่งหวังให้เกิดการทำงานเป็นทีมอย่างไร้รอยต่อ โดยเฉพาะการทำงานกับสาขาในต่างประเทศ หรือการตลาดโกลเบิล ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันกับทีมการตลาดของแต่ละประเทศ อันเป็นการผสมผสานแนวทางการทำงานตามมาตรฐานระดับโลกเข้ากับบริบทของแต่ละประเทศ ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ทุกคนได้มีส่วนช่วยสร้างความสำเร็จให้กับทีม
ส่วน C 3 – เปลี่ยนเทคโนโลยีใหม่ ไม่ว่าจะเป็น Internet of Things, Virtual Reality, AI, Cloud Computing หรือเทคโนโลยีหุ่นยนต์ เหล่านี้ล้วนมีศักยภาพในการเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจให้ต่างไปจากเดิมได้อย่างสิ้นเชิง
บริษัทจึงได้ลงทุน 560 ล้านบาท นำเทคโนโลยีเข้ามาเสริมการทำงานให้กับทีม ไม่ว่าจะเป็นการทำ virtual office หรือการนำ AI Chatbot มาใช้ในการสื่อสารกับพนักงาน และกับลูกค้าของบริษัท รวมถึงการจัดตั้งทีมงาน ‘Incubator’ ที่สนับสนุนให้พนักงานได้เรียนรู้ ทดลอง และทดสอบไอเดียใหม่ๆ หรือ “ผลิตภัณฑ์หรือบริการต้นแบบ” (Prototype) ของพวกเขา อันจะนำไปสู่การคิดค้นผลิตภัณฑ์หรือบริการที่โดนใจลูกค้า”
“การปรับโฉมองค์กรเพื่อให้การทำงานอยู่บนดิจิทัลแพลตฟอร์มที่สมบูรณ์ จะแล้วเสร็จภายในปี 2565 ซึ่งจะช่วยเสริมรากฐานขององค์กรให้แข็งแกร่ง สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับองค์กร และผลักดันให้เราก้าวไปสู่การเป็นบริษัทข้ามชาติ (Multinational Company) ของคนไทยอย่างแท้จริง” นายประกรรษ์ กล่าว