Biznews

เสื้อกันหนาวกับขุมทรัพย์ของโรงเรียน

เสื้อกันหนาวกับขุมทรัพย์ของโรงเรียน

โดย…ธนก บังผล

ข่าวที่สร้างความงงงวยให้กับบรรดาผู้ปกครองของนักเรียน โรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.น่าน คือการออกประกาศให้นักเรียนทุกคนใส่เสื้อกันหนาวของโรงเรียน สาเหตุที่ต้องออกประกาศมาเช่นนี้ทางผู้อำนวยการให้เหตุผลสุดจะสวยหรูว่าเพื่อความเท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ำทางฐานะ ชนชั้นทางสังคม ,เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย และความเป็นเอกลักษณ์ของโรงเรียน

แต่ประกาศฉบับนี้ก็ถูกเผยแพร่ออกมาได้แค่วันเดียว เพราะต่อมาทางโรงเรียนก็ได้มีประกาศยกเลิก ด้วยเหตุผลที่สร้างความสงสัยกันไปใหญ่คือ ทำให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับบังคับใช้ระเบียบปฏิบัติ

กล่าวกันตามตรง สังคมต้องตั้งคำถามไปยังผู้บริหารโรงเรียนแห่งนี้ว่า “ใครกันแน่” ที่เข้าใจคลาดเคลื่อน

ในสมัยที่ผมเป็นเด็กนั้น เรียนโรงเรียนเอกชนเครือเซนคาเบรียลแห่งหนึ่ง แถบจังหวัดภาคเหนือ เรียนตั้งแต่อนุบาล 1 ก็ยังไม่มีเหตุการณ์อะไรทำนองนี้ จนกระทั่งขึ้นชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ทางโรงเรียนก็เริ่มให้นักเรียนซื้อกระเป๋าของทางโรงเรียน

ปากก็บอกไม่บังคับ แต่พฤติกรรมการ “ตื๊อ” พร้อมๆไปกับสร้างความกดดันให้อับอายของครูประจำชั้น ทำให้เพื่อนๆหลายคนจำเป้นต้องซื้อกระเป๋าของทางโรงเรียน

และผมเป็นคนสุดท้ายในห้องที่หาทางออกไม่ได้ เนื่องจากพ่อแม่เพิ่งซื้อกระเป๋านักเรียนให้ใหม่ในวันเปิดเทอม การที่จะขอให้พ่อแม่ซื้อกระเป๋าของโรงเรียนอีกใบหนึ่งนั้น ถูกปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลังชั่งน้ำหนักระหว่างความอายกับการถูกด่า ในที่สุดผมตัดสินใจเอากรรไกรมาตัดกระเป๋าที่พ่อแม่ซื้อให้จนขาด นั่นละครับมันกลายเป็นเรื่องฝังใจผมไม่น้อย แต่ก็ได้ทำให้ครูประจำชั้นที่ได้รับนโยบายมาขายกระเป๋าพอใจอย่างที่สุด เพราะสามารถทำให้เด็กทั้งชั้นซื้อกระเป๋าของโรงเรียนไปใช้ได้ทุกคน

ตลอดเวลาที่เรียนอยู่ที่โรงเรียนแห่งนี้ จำไม่ผิดน่าจะซื้อกระเป๋าของโรงเรียนไปไม่น้อยกว่า 3 ใบ แทบจะขายกันทุกปี บางปีครูประจำชั้นเข้าใจก็ไม่ได้บังคับอะไร แต่ผลจากการไม่ซื้อกระเป๋าย่อมทำให้กลายเป็นที่จับตามองไม่น้อย พอๆกับการไม่เรียนพิเศษหลังเลิกเรียน

เมื่อไม่ต้องการเรียนพิเศษหลังเลิกเรียน ผมจำเป็นต้องไปสมัครเข้าชมรมดุริยางค์ เล่นดนตรีเพราะจะต้องไปซ้อมหลังเลิกเรียนทุกวัน แต่การเล่นดนตรีกลับมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการเรียนพิเศษ ทั้งการเดินทางไปแข่งต่างจังหวัด อุปกรณ์ดนตรี ค่าตัดชุดดุริยางค์ รวมทั้งการซ้อมแบบไม่มีวันหยุดบางครั้งต้องนอนค้างโรงเรียนเพื่อตื่นมาซ้อมในตอนเช้าก่อนเข้าแถวเคารพธงชาติ เด็กประถมอย่างผมที่แบ่งเวลาไม่ได้ กลายเป็นคนไม่ได้อ่านหนังสือ ไม่มีกะจิตกะใจจะเรียน สุดท้ายการเรียนก็ตกต่ำ ต้องออกจากวง แล้วหันกลับมาเรียนพิเศษแทน

ดังนั้นประกาศของโรงเรียนที่เป็นข่าวให้นักเรียนใส่เสื้อกันหนาวของโรงเรียนนั้น ทำให้ผมย้อนกลับไปมองอดีตที่ผ่านมาได้หลายกรณี

ประการแรกที่สำคัญที่สุดคือ “ขุมทรัพย์” หากโรงเรียนบังคับนักเรียนซื้อเสื้อกันหนาวตัวละ 200 บาททุกคน ครอบครัวไหนมีลูกเข้าเรียน 2 คน ก็ต้องเสียเงินเพิ่ม 400 บาท แล้วถ้าทั้งโรงเรียนมีนักเรียน 500 คน ก็หมายความว่าโรงเรียนสามารถขายเสื้อกันหนาวได้ 1 แสนบาท ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าโรงเรียนขายเสื้อกันหนาวราคาเท่าไร

สำหรับในวัยเด็กของผมที่แม่ถักเสื้อไหมพรมใส่ให้กันหนาว จากที่ไม่ต้องเสียเงินก็กลายเป็นว่าต้องเสียเงิน แล้วเสื้อกันหนาวนี้ไม่สามารถใส่ตัวเดียวทั้งเดือนได้ และอากาศหนาวก็ไม่ได้อยู่คงทนไปทั้งปีพอที่จะต้องมาซื้อเสื้อกันหนาวของโรงเรียนด้วยซ้ำ

ไม่ว่าจะมองทางไหนก็ไม่เห็นประโยชน์ใดๆจากการซื้อเสื้อกันหนาวแม้แต่น้อย

ประการต่อมาคือ การบังคับให้เด็กต้องซื้อเสื้อกันหนาว ในขณะที่หลายครอบครัวไม่ต้องการฟุ่มเฟือย มันเป็นการกดดันให้เด็กที่ไม่ซื้อถูกเพื่อนๆมองอย่างแปลกแยก เช่นเดียวกับนโยบายของโรงเรียนที่ครูต้องสนอง คือต้องขายเสื้อให้ได้ ผมไม่เห็นว่ามันจะทำให้การศึกษาถูกยกระดับขึ้นมาได้อย่างไร

ประการสุดท้ายคือ อาจตีความได้ว่าที่ผ่านมาเด็กโรงเรียนแห่งนี้มีการขโมยเสื้อกันหนาวเพื่อน หรือมีเสื้อกันหนาวหาย ด้วยข้ออ้างลดความเหลื่อมล้ำทางฐานะ แสดงว่าการศึกษาที่ต้องการจะผลิตเด็กออกมาเป็นคนดี ซื่อสัตย์สุจริต กำลังล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง

ปัญหาภายในที่ทางผู้บริหารโรงเรียนจัดการกับเสื้อกันหนาวหายนั้น เป็นเรื่องปลายเหตุอย่างยิ่ง เพราะไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าหากนักเรียนทุกคนใส่เสื้อกันหนาวเหมือนกัน แล้วจะไม่มีการสูญหาย

อย่างไรก็ตาม ก็นับมีเรื่องที่น่าชื่นชมไม่น้อยเมื่อทางผู้อำนวยการโรงเรียนแห่งนี้ยอมถอย เพียงแต่ข้ออ้างมันฟังไม่ขึ้นเท่านั้นเอง

ปัจจุบันระบบการศึกษาของไทยเข้าขั้นแย่ เด็กเก่ง เด็กฉลาด ถูกครอบงำโดยระบบการเรียนการสอนที่ล้าหลัง เน้นท่องจำ ไม่สอนให้เด็กคิด จึงทำให้เกิดโรงเรียนทางเลือกขึ้นมามากมาย

แต่โรงเรียนทางเลือกก็ไม่ได้เป็นที่นิยมในต่างจังหวัด อีกทั้งค่าเล่าเรียนก็สูง โดยไม่แน่ว่าเมื่อเด็กเข้าไปเรียนโรงเนียนทางเลือกซึ่งดีกว่า จะสามารถกลับมาเข้าระบบการสอนในช่วงมัธยมได้หรือไม่

ก็ได้แต่บ่นไปละครับ อย่างน้อยก็จากประสบการณ์ตรงของผมที่เคยประสบมา ซึ่งยอมรับเลยว่าตัวผมเองก็ได้ตกเป็นผลผลิตแห่งความล้มเหลวนั้นอย่างเต็มประตู

Related Articles

Back to top button
X
%d bloggers like this: