
เรื่องขี้ผงที่จะโค่นรัฐบาล
ธนก บังผล
บรรยากาศขมุกขมัวในกรุงเทพฯ ซึ่งเต็มไปด้วยฝุ่นควันขนาดเล็ กไม่เกิน 2.5 ไมครอน หรือที่เราคุ้นเคยว่า PM 2.5 นั้น เป็นปัญหาใหญ่นะครับ ไม่ใช่เรื่องที่จะเอาทัศนคติ ทางการเมืองมาแซะด่าสีเสื้อฝ่ ายตรงข้ามในโซเชียลมีเดียจนหาจุ ดร่วมที่ควรต้องเร่งแก้ไขปั ญหากันไม่ได้
อย่าลืมว่า ช่วงนี้เมื่อปีที่แล้วเราตื่ นตระหนกถึงความอันตรายของฝุ่น PM 2.5 กันไปครั้งหนึ่ง นั่นแสดงว่าโอกาสที่จะเกิดวิ กฤตฝุ่นควันนี้ซ้ำๆ ประมาณกลางเดือนมกราคม ก็มีความเป็นไปได้สูง
เพราะฉะนั้น หากสามารถทราบช่วงเวลาได้คร่ าวๆ เราก็อาจรณรงค์ป้องกันไม่ให้ เป็นอันตรายจนกระทบกับการใช้ชี วิตของเรา
มีรายงานว่า เมื่อนำค่า PM 2.5 เทียบเคียงกับดัชนีคุ ณภาพอากาศจากกรมควบคุมมลพิษ พบวิกฤตฝุ่นควันในประเทศไทยตั้ งแต่ปี 2558-2560 โดย ค่ามลพิษเกินมาตรฐานขององค์ การอนามัยโลก 3 ปีติดกัน จนกระทั่งปีที่แล้วที่กรุ งเทพเป็นเหมือนเมืองในหมอกนั่ นละครับ หน้ากากอนามัยจึงได้ถูกนำมาใช้ กันมากขึ้น
ฝุ่นควันขนาดเล็กเหล่านี้ถ้าเกิ ดในกรุงเทพ สาเหตุหนึ่งก็ มาจากการเผาผลาญเชื้อเพลิง, อุตสาหกรรม และการผลิตไฟฟ้า แต่ถ้าเกิดที่ ต่างจังหวัดส่วนใหญ่ มาจากการเผาหญ้า กับไฟป่า

แต่ไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุอะไร ผลกระทบที่ตามมาคือ ฝุ่นขนาดเล็กนี้จะแพร่กระจายเข้ าสู่ทางเดินหายใจ กระแสเลือด และแทรกซึมสู่ กระบวนการทำงานในอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย เพิ่มความเสี่ยงเป็นโรคเรื้อรัง
ปี 2556 องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดให้ PM2.5 จัดอยู่ในกลุ่มที่ 1 ของสารก่อมะเร็ง ซึ่งเป็นสาเหตุให้ 1 ใน 8 ของประชากรโลกเสียชีวิตก่อนวั ยอันควร ส่วนประเทศไทยนั้นก็มีผู้เสียชี วิตจากมลพิษในอากาศ ประมาณ 50,000 รายแล้ว
อย่าเห็นว่าเป็นแค่เรื่องขี้ ผงนะครับ อาการเริ่มจากแสบตา แสบจมูก จนถึงขั้นปอดอักเสบ ค่ารักษาพยาบาลไม่ใช่ถูกๆเหมื อนปวดหัวที่แค่กินยาแล้วนอนพั กก็หาย
คนที่อยู่ในกรุงเทพ ซึ่งปกติอากาศก็แย่จากควันรถอยู่ แล้ว เมื่อเจอวิกฤต PM 2.5 ซ้ำเข้าไปอีก ความเสี่ยงที่จะเจ็บป่วยโรคเกี่ ยวกับทางเดินหายใจก็สูงขึ้นเป็ นทวีคูณ
เราจึงต้องการให้หน่วยงานที่เกี่ ยวข้องรีบสรุปปัญหา แล้วแก้ไขมันให้ตรงจุด ไม่ใช่รอให้วิกฤตก่อนถึ งมาบอกให้ประชาชนสวมหน้ ากากอนามัย
จริงอยู่ครับที่ ปัญหาฝุ่นควันไม่ใช่ความผิ ดของนายกรัฐมนตรี และนายกฯ คนเดียวก็ไม่สามารถพัดฝุ่นให้ หายไปในพริบตา แต่รัฐบาลที่บริหารประเทศจำเป็ นต้องหาทางแก้ไขความเดือดร้ อนของประชาชนครับ
ปีที่แล้ว กทม.ยังต้องประกาศให้โรงเรี ยนหยุดเพื่อลดความหนาแน่นจากส ภาพการจราจรในชั่วโมงเร่งด่วน ความเดือดร้อนนี้ไม่ใช่แค่ แนะนำว่าแสบตาก็อยู่ในบ้าน
คนเขาออกมาโพนทะนาให้รัฐบาล ซึ่งมีนายกฯ เป็นผู้นำกระตือรือร้นสนใจที่ จะแก้ไขปัญหาให้ประชาชนครับ เพราะยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไร ชาวบ้านก็ยิ่งรู้สึกว่า “จำเป็นต้องทน” กับความเดือดร้อนหาทางเอาชีวิ ตกันเอง
“จะด้วยอะไรก็แล้วแต่ต้

คำพูดของ นายกฯ ท่านบอกอย่างนี้ เหมือนท่านไม่ได้ใส่ใจอะไร คงคิดว่าเดี๋ยวก็หายไปเอง
ผมคิดว่าเราควรหาทางป้องกั นและแก้ไขครับ ไม่ใช่ไปหาซื้อหน้ากากอนามั ยราคาแพงที่กรองฝุ่น PM 2.5 แค่ทุกวันนี้เศรษฐกิจก็ฝืดเคื องเต็มทีแล้ว คนหาเช้ากินค่ำจะเอาเงินที่ ไหนไปซื้อ
ไม่ว่าจะจัดระเบียบจราจร รณรงค์ลดควันดำตั้งแต่ก่อนสิ้ นปี หรือแม้กระทั่งกำหนดวันเวลา ลดค่าโดยสารรถไฟฟ้าหรือขนส่ งสาธารณะในชั่วโมงเร่งด่วนฯลฯ

มีสถิติยืนยันว่ามลพิ ษในอากาศสะสมมา 3-4 ปีแล้ว ซึ่งปีต่อๆไปคงไม่มีใครอยากจะต้ องกลับมาเจอกับปัญหาเดิมๆซ้ำๆ
กรุงเทพเป็นเมืองหลวงที่มี ประชากรอาศัยอยู่หนาแน่น การพัฒนาความเจริญทุกด้านรวมอยู่ แห่งเดียว เพราะคนอยู่กันเยอะเลยเป็นพื้ นที่อ่อนไหว มีปัญหาอะไรขึ้นมาต้องรีบแก้ ไขครับ แม้ว่าการแก้ไขนั้นจะไม่ทำให้ คนถูกใจได้ทั้งหมด
นาทีนี้ผมเชื่อแล้วนะครับที่ เขาว่า ความนิยมในตัวของนายกฯ ลดน้อยลง จากวิธีการรับมือกับปั ญหาหลายๆครั้งที่ผ่านมาดูท่ านไม่เหมาะที่จะบริ หารประเทศเลยครับ
มีแค่ใจ… ผมเกรงว่า ประเทศจะไปไม่รอดนะครับ
ฝุ่นควันนั้นบางเบา แต่ถ้าปล่อยให้มันเข้ าไปเกาะทางเดินหายใจ ฝุ่นเล็กๆก็ทำให้คนเสียชีวิตได้
หากคนกรุงเทพฯ ต้องทนกับปัญหาความเดือดร้อนบ่ อยๆ แม้ว่ารัฐบาลจะมีเสถี ยรภาพจากเสียงสนับสนุน 2 สภา แต่ถ้าประชาชนส่งเสียงไม่ยอมรั บในตัวผู้นำดังขึ้นเรื่อยๆ ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยได้นะครับ
บ้านเมืองจะกลับไปสู่ความขัดแย้ งอีกครั้งหรือไม่ ตัวท่านนายกฯ เท่านั้นละครับที่มีคำตอบ