เปิดใจ(อดีต)โปรดิวเซอร์สาวช่อง 3 “เพราะชีวิตต้องไปต่อ”

“เพราะชีวิตไม่มีอะไรแน่นอน ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน” พิสูจน์ได้เสมอว่าเป็นจริงมาทุกยุคทุกสมัยไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงกลับตาลปัตรอย่างไรก็ตาม ชีวิตก็ตั้งมั่นอยู่บนความไม่แน่นอน ความไม่เที่ยงแท้ อยู่ที่ใจเรามากกว่าว่าจะแน่นอนและยอมรับกับความเป็นจริงได้มากน้อยแค่ไหน
สัปดาห์ที่ผ่านมาข่าวที่สั่นคลอนความรู้สึกโดยเฉพาะพี่น้องสื่อมวลชนอีกระลอกหลังจากก่อนหน้านี้ทยอยมีมาเรื่อยๆ แต่ก็เตรียมใจรับยังไม่ได้สักที นั่นคือ ข่าวการคืนช่องทีวีดิจิตอลที่ไม่สามารถไปต่อได้เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิง และหนึ่งในนั้นคือค่ายใหญ่อย่างวิกพระรามสี่อย่างช่อง 3 ที่งานนี้ขอคืนถึง 2 ช่องคือ ช่อง3 Family (ช่อง13) และ ช่อง 3 SD (ช่อง 28) เหลือไว้เพียงช่องเดียวคือ ช่อง 33HD
แน่นอน เมื่อมีการคืนช่องถึง 2 ช่อง สิ่งที่ตามมาแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้คือ การปลดพนักงานตามมาซึ่งครั้งนี้มระลอกใหญ่เพราะมีการปลดพนักงานรวมทั้งหมดราว 200 คนจากพนักงานกว่า 1,000 ชีวิต โดยผู้บริหารช่อง 3 ได้เรียกพนักงานมาแจ้งให้ทราบถึงการถูกเลิกจ้างพร้อมชดเชยตามกฏหมายแรงงานทุกประการหรือมากกว่าด้วยซ้ำเมื่อเทียบกับที่อื่นๆ ที่โดนเด้งฟ้าฝ่ามาก่อนหน้านี้เรียบร้อยแล้ว
หนึ่งในหลายๆ ชีวิตที่จำต้องเบนเข็มอย่างกะทันหันแต่โชคดีกว่าเพื่อนที่เธอเตรียมการณ์รองรับมาบ้างแล้ว เพื่อความไม่ประมาทในชีวิตการงานที่เธอมองมาตลอดว่านับวันยิ่งไม่แน่นอนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และเริ่มเห็นแนวทางชัดเจนเมื่อเพื่อนๆ จากสื่ออื่นๆ ทยอยหายไปทีละคนๆ และสุดท้ายวันนี้ก็เดินทางมาถึงเธอในที่สุด
“มณฑยา แสนโคตร “ อดีตโปรดิวเซอร์สาวคือบุคคลที่เรากำลังกล่าวถึง ผู้หญิงคนนี้หอบความฝันกับวิญญาณนักข่าวมาเต็มเปี่ยมเข้ามาทำงานกับช่อง 3 ตั้งแต่ปี 2014 ในตำแหน่งโปรดิวเซอร์ หลังจากผ่านงานเก็บเกี่ยวประสบการณ์มาระยะหนึ่งกับองค์กรชื่อดังอย่างทีวีบูรพามาแล้ว
ต้องบอกว่า มนทยา แฮปปี้กับชีวิตที่วิกพระรามสี่เป็นอย่างมาก เธอทำงานด้วยความุมานะ ตั้งใจผลิตผลงานอย่างมีประสิทธิภาพเรื่อยมาท่ามกลางเพื่อนๆ ร่วมอาชีพที่เธอรัก และรักเธอเช่นกัน
วันเวลาผ่าน ทุกอย่างรอบตัวเริ่มเปลี่ยนแปลง มนทยา ยอมรับว่า ชีวิตและความคิดเธอเริ่มเปลี่ยนแปลง จากเดิมที่เคยกระปรี้กระเปร่าตื่นเช้ามาอยากทำงาน ค่อยๆ เปลี่ยนคล้ายคนหมดไฟลงเรื่อยๆ ซึ่งเธอบอกว่า ไม่เกี่ยวกับองค์กรแต่อย่างใด เธอยังรักในอาชีพและองค์กรของเธออยู่ แต่ก็ปฏิเสธโลกที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ โดยเฉพาะการเข้ามาของเทคโนโลยีที่ดิสรัปหลากหลายอาชีพและสื่อสารมวลชนกลายเป็นอาชีพที่ไม่มีความมั่นคงอีกต่อไป จนเธอเริ่มเกิดภาวะเครียดแบบไม่รู้ตัวมาเรื่อยๆ
มนทยา เริ่มครุ่นคิดกับตัวเองว่าจำต้องหาทางออกให้กับชีวิตเพราะไม่งั้นเธอต้องเป็นโรคซึมเศร้าแน่นอน จนเธอค้นพบว่าตัวเธอเองชอบทานขนม และเมื่อชอบทานอะไรก็จะทำทาน เธอจึงเริ่มศึกษาวิธีการทำขนมด้วยตัวเองแบบครูพักลักจำทำมาเรื่อยๆ ให้เพื่อนๆ ที่ทำงานได้ชิม จนเพื่อนๆ บอกว่าอร่อยดี ความคิดที่จะหารายได้เสริมจากการทำขนมซึ่งเธอบอกว่าเป็นยาชั้นดีที่ทำให้เธอจิตใจสงบ มีสมาธิ ไม่ฟุ้งซ่าน มีเวลาทบทนวนตัวเองอย่างละเอียดเวลาที่ทำขนม
MissPungByMon จึงกลายเป็นธุรกิจที่เธอหมายมั่นปั้นมือว่าเหมาะกับเธอมากที่สุดในเวลานี้ จากที่เคยทำเป็นอาชีพเสริม แต่ในวันที่เธอต้องเลือกว่าจะเดินหน้าหรือหยุดอยู่แค่นี้กับงานที่เธอรักกลายเป็นคำตอบที่เธอบอกว่าไม่ต้องคิดนานเลยเพราะเธอเตรียมพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
อย่างไรก็ตาม มนทยา บอกว่า แม้จะเตรียมใจมาก่อน เตรียมตัวอยู่แล้ว ว่าเป็นลูกจ้างแต่ก็อดใจหายไม่ได้ เพราะงานข่าวเป็นงานที่เธอรักและตั้งใจทำมาตลอดชีวิต ด้วยความคิดว่าจะเป็นกระบอกเสียงช่วยสังคม แต่มาถึงยุคนี้การช่วยคนอื่นได้ คิดว่าใช้โซเชียลก็ทำได้ ช่วยชาวบ้านทางอื่นก็ได้เช่นกัน
มนทยา บอกว่า ตัวเธอนับว่าโชคดีกว่าเพื่อนๆ ที่เตรียมแผนรองรับไว้แล้วพอสมควรจึงไม่มีอะไรน่าหนักใจ แต่เพื่อนคนอื่นๆ ที่ไม่ทันตั้งตัวน่าเป็นห่วงมากกว่า จึงอยากฝากส่งกำลังใจเพื่อนที่เหลือให้ไปต่อ ระหว่างทางก็คิดิจารณาควบคู่ไปด้วยว่าตัวเองถนัดด้านไหน อยากทำอะไรแล้วรีบลงมือทำทันที ปรับตัวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลง
ที่สำคัญ เธอ มีพื้นที่แนะนำให้สื่อที่ตกงานขายของ ติดต่อมาได้ และโปรเจคกับเฟรนไชน์ที่ทำร่วมกับพี่ๆ เพื่อช่วยพี่น้องที่ตกงาน ทดลองขายฟรี คนตกงานที่สนใจอยากทำขนม ติดต่อได้เพจนี้ https://m.facebook.com/MisspungbyMon/
จากนี้ไป จะทำงานอิสระ ทั้งทำขนม และอุทิศชีวิตส่วนนึงพัฒนาสินค้าชุมชน ช่วยชาวบ้านไปให้ถึงตลาดโลกซึ่งเธอยินดีให้ความช่วยเหลือผู้ที่ตกงานให้มาเรียนการทำขนมกับเธอแบบฟรีๆ
นี่คือ อีกหนึ่งชีวิตที่โผบินจากโลกใบเก่าสู่โลกใบใหม่ที่เธอบอกว่าน่าจะสนุกและปลุกไฟในตัวเธอได้ไม่แพ้กัน
ท่านใดที่สนใจต้องการเป็นกำลังใจให้เธอ อุดหนุนขนมเธอได้ตามรายละเอียดดังกล่าว
ยินดีต้อนรับสู่โลกแห่งความเป็นจริง แม้จะโหดร้ายแต่เราต้องผ่านไปให้ได้ เพราะชีวิตต้องไปต่อและมีพรุ่งนี้เสมอ
เพราะชีวิตไม่มีเวลามากพอที่จะจมปลักอยู่กับความล้มเหลว ขอเพียงไม่ท้อกลางทาง……