Biznews

เปิดปูมสถานทูตอังกฤษ หลัง “เซ็นทรัล” ปิดดีล

สิ้นสุดการรอคอยเมื่อสำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า กระทรวงการต่างประเทศสหราชอาณาจักรเปิดเผยว่า ได้ขายที่ดินสถานเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย ในราคา 420 ล้านปอนด์ (ราว 1.9 หมื่นล้านบาท) ให้กับฮ่องกงแลนด์ ซึ่งเป็นบริษัทลูกของบริษัท จาร์ดีน แมธทีสัน ซึ่งเป็นตัวเลขการขายอสังหาริมทรัพย์ที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษให้กับเซ็นทรัล กรุ๊ป ซึ่งเงินที่ได้จะนำไปใช้ซ่อมแซมอาคารสถานทูตในประเทศอื่นทั่วโลก

ราคาขายดังกล่าวถือว่ามีมูลค่าสูงเกือบถึงครึ่งหนึ่งของงบประมาณหลักประจำปี จำนวน 1.2 พันล้านปอนด์ (ราว 5.39 หมื่นล้านบาท) ของสำนักงานการต่างประเทศและเครือจักรภพ โดยเงินจำนวนนี้สามารถนำไปซื้อที่ดินสถานทูตแห่งใหม่ ในอาคารเอไอเอ สาธร ทาวเวอร์ ในปี 2019 และใช้สำหรับปรับปรุงอาคาสถานทูตทั่วโลก ให้มีความทันสมัยขึ้น

ก่อนหน้านี้ มีผู้ประกอบการรายใหญ่หลายรายให้ความสนใจ อาทิ คิงเพาเวอร์ ของ “วิชัย ศรีวัฒนประภา” ทีซีซีแลนด์ ของเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี }แสนสิริ , ฮ่องกงแลนด์ รวมไปถึงกลุ่มเซ็นทรัล ที่เคยเสนอราคาประมูลสูงถึง 2 – 2.2 ล้านบาท ต่อ 1 ตารางวา รวมที่ดินที่ประมูลทั้งหมดกว่า 10,000 ตารางวา มูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านบาท ทุบสถิติราคาที่ดินที่สูงที่สุดเท่าที่เคยมีการซื้อขายกันมาในไทย

จนกระทั่งเซ็นทรัลสามารถได้ครอบครองพื้นที่ประมาณ 9 ไร่ของสถานทูต ในราคาเกือบ 1ล้านบาทต่อตารางวา กลายเป็นที่ตั้งของห้าง “เซ็นทรัล เอ็มบาสซี่” ในปัจจุบัน และเชื่อกันเรื่อยมาว่า “เซ็นทรัล กรุ๊ป”นี่ล่ะน่าจะเป็นกลุ่มที่จะซื้อที่ดินที่เหลือของสถานทูตและก็เป็นความจริง

อย่างไรก็ตาม มีกลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อรณรงค์ไม่ให้มีการซื้อขายที่ดินของสถานทูตอังกฤษในกรุงเทพ ภายใต้ชื่อ Save The British Embassy Bangkok ซึ่งเคลื่อนไหวมาตั้งแต่ปลายปี 2016 โดยนายริชาร์ด เลช ผู้ริเริ่มการรณรงค์ ให้เหตุผลว่าไม่ต้องการให้พื้นที่ของสถานทูตอังกฤษที่มีสภาพแวดล้อมที่ร่มรื่นและสิ่งปลูกสร้างที่สวยงาม กลายสภาพเป็นตึกสำนักงานหรือห้างสรรพสินค้าที่ไร้เอกลักษณ์

จะเห็นได้ว่า ย่านชิดลม เพลินจิต ซึ่งเป็นที่ตั้งของถนนวิทยุ มีราคาที่ดินที่สูงที่สุดในประเทศไทย ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 1.9 ล้านบาทต่อตารางวา เนื่องจากเป็นย่านธุรกิจที่มีอัตราการขยายตัวสูงสุด แซงหน้าที่ดินย่านสีลมและเยาวราช ที่เคยมีราคาแพงที่สุดไปแล้ว และแน่นอนเมื่อตกอยู่ในมือเซ็นทรัลเจ้าพ่อแห่งการดีเวลลอปเปอร์ย่อมต้องต่อยอดจากธุรกิจที่มีอยู่แน่นอน

เซ็นทรัล ภายใต้การกุมบังเหียนของรุ่นที่ 3 “ทศ จิราธิวัฒน์” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด เคยฉายภาพของกลุ่มเซ็นทรัลในอนาคตว่า ต้องการปฎิวัติการตอบโจทย์ลูกค้า โดยสร้าง “เดสทิเนชั่น คอนเซปต์” ก้าวสู่ผู้นำในกลุ่มบริษัทด้าน “ไลฟ์สไตล์และการบริการ” ยกระดับสู่การเป็นศูนย์รวมแห่งการใช้ชีวิตครบวงจร

นอกจากนี้ ย่านชิดลม-เพลินจิต จะถูกเนรมิตเป็น “ย่านลักชัวรี” สมบูรณ์แบบของเมืองไทยด้วยการต่อยอดธุรกิจลักชัวรี รีเทล ที่มีห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ชิดลม ,เอ็มบาสซีและ โรงแรม ปาร์ค ไฮแอท

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้มีกลุ่ม 5 พันธมิตรธุรกิจแยกวิทยุ-เพลินจิตได้รวมตัวกันในนาม “กลุ่มเพลินจิตซิตี้” ประกอบด้วย 1.ธนาคารกรุงศรีอยุธยา 2.อาคารปาร์คเวนเชอร์ ของ บมจ.ยูนิเวนเจอร์ ในเครือตระกูลสิริวัฒนภักดี 3.โครงการคอนโดฯโนเบิล ของ บมจ.โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ 4.ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เอ็มบาสซี ของตระกูล “จิราธิวัฒน์” และ 5.โรงแรมปาร์คนายเลิศ ของตระกูล “สมบัติศิริ” จะร่วมกันพัฒนาให้เป็นย่านศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่ หรือ “ซีบีดี-เซ็นทรัล บิสซิเนส ดิสทริก”

คราวนี้เราไปทำความรู้จักกับสถานทูตอังกฤษซึ่งเป็นสถานทูตที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย และตั้งอยู่ในทำเลทอง คือ ตั้งอยู่บนถนนวิทยุ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน ที่มีมูลค่าที่ดินสูงที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร บริษัทนายหน้าที่ได้รับมอบหมายให้เป็นตัวแทนขายที่ผืนนี้ประเมินราคาอยู่ที่ 2 ล้านบาทต่อตารางวา ทำให้มูลค่าการซื้อขายจะสูงถึง 18,000ล้านบาท

ด้วยสถาปัตยกรรมที่สวยงาม ต้นไม้ใหญ่ที่ให้ความร่มรื่น และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหน้าตาขึงขังชาว “กูรข่า” สถานทูตอังกฤษได้กลายเป็นภาพคุ้นตาคนไทยเป็นอย่างดี และเป็นสัญลักษณ์ของความสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่างสองประเทศกว่า 160 ปีนับตั้งแต่การลงนามในสนธิสัญญาเบาว์ริ่ง

สถานเอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจำประเทศไทย ยกฐานะมาจากสถานกงสุลอังกฤษประจำประเทศไทย ซึ่งแต่เดิมตั้งอยู่ที่ ตำบลบางรัก จังหวัดพระนคร ซึ่งติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่สมัยเปิดสัมพันธ์ทางทูตและการค้ากับประเทศไทยในสมัยรัชกาลที่ 4 การคมนาคมติดต่อกับสถานทูต เดิมใช้ทางแม่น้ำเจ้าพระยาเมื่อมีการตัดถนนเจริญกรุง จึงสามารถเข้าทางถนนได้อีกทางหนึ่ง ตามประวัติศาสตร์แล้วรัชกาลที่ 4 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ซื้อที่ดินเพื่อทำสถานกงสุลอังกฤษจากชาวมอญและพม่า ในราคาตารางวาละ 1 บาท พร้อมพระราชทานเสาธงไม้ให้สถานกุงสุลอีกด้วย พ.ศ. 2435 เสาธงที่ได้รับพระราชทานถูกพายุหักโค้น สถานกงสุลจึงสั่งนำเข้าเสาธงเหล็กในราคา 500 ปอนด์ จากฮ่องกงเข้ามาเปลี่ยนแทน

ต่อมาได้มีการก่อสร้างโรงสีจำนวน 2 โรงขึ้นอีกฝั่งของแม่น้ำเจ้าพระยาอยู่ตรงข้ามกับสถานกงสุลอังกฤษ โรงสีได้ปล่อยควันมีขี้ฝุ่นและเสียงหวูดโรงสีไฟเปิดดังหนวกหู ซึ่งสร้างปัญหามลภาวะในการทำงานและการพักอาศัยให้กับบุคลากรของสถานกงสุลอังกฤษเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ในยามค่ำคืน ยังมีเสียงดนตรีและเสียงกลองดังลั่นจากร้านเหล้า รวมถึงยังมีคนเมาอาละวาดอยู่หน้าอนุสาวรีย์พระนางเจ้าวิคตอเลีย ริมถนนเจริญกรุงฝั่งตรงข้ามกับสถานทูตอีกด้วย ท่านกงสุลจึงดำริที่ต้องการจะย้ายสถานที่ตั้งสถานกงสุลใหม่ ซึ่งประจวบกับขณะนั้น พระยาภักดีนรเศรษฐ หรือ นายเลิศ มีที่ดินจำนวนมากต้องการพัฒนาพื้นที่ย่านเพลินจิตริมคลองแสนแสบของตน จึงนำมาเสนอขายให้กับสถานกงสุลอังกฤษ โดยมีเงื่อนไขพระยาภักดีนรเศรษฐ ขอรับซื้อพื้นที่และสิ่งปลูกสร้างของสถานกงสุลอังกฤษเดิมทั้งหมดด้วย เมื่อสถานกงสุลพิจารณาแล้วเห็นชอบจึงรับข้อเสนอและก่อสร้างอาคารสถานกงสุลใหม่ในที่ดินของนายเลิศ

ในปี พ.ศ. 2465 สถานกงสุลได้ย้ายไปอยู่ที่ตั้งใหม่ย่านเพลินจิต ส่วนที่ตั้งเดิมของสถานกงสุลอังกฤษ นายเลิศได้นำไปเสนอขายให้กับทางราชการของไทย ในราคา 1,800,000 บาท ซึ่งราชการของไทยโดยกระทรวงพระคลังมหาสมบัติได้รับซื้อไว้ ปี พ.ศ. 2469 อาคารสถานที่เดิมของสถานกงสุลอังกฤษได้ถูกนำไปใช้เป็นที่ตั้งของสำนักงานไปรษณีย์โทรเลขกลาง สังกัดกรมไปรษณีย์โทรเลข ต่อมาอาคารมีความทรุดโทรมและคับแคบไม่เหมาะกับงานไปรษณีย์ จึงรื้ออาคารทิ้งทั้งหมดแล้วก่อสร้างอาคารใหม่ ซึ่งก็คือ อาคารไปรษณีย์กลางบางรัก ถนนเจริญกรุง ในปัจจุบัน ส่วนสถานกงสุลอังกฤษที่ย้ายไปที่ตั้งใหม่ย่านเพลินจิต ถนนวิทยุ ต่อมาได้ถูกยกฐานะเป็น สถานเอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจำประเทศไทย

กระทั่งปี พ.ศ.2549 สถานเอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักร มีนโยบายขายที่ดินบางส่วนจำนวน 9 ไร่ ติดกับถนนเพลินจิต จึงมอบหมายให้ตัวแทนเปิดการประมูลซึ่งผลปรากฎว่า กลุ่มเซ็นทรัล ชนะการประมูล ต่อมา กลุ่มเซ็นทรัล ได้นำพื้นที่จำนวน 9 ไร่ นี้ไปก่อสร้างเป็น ศูนย์การค้าและโรงแรมในชื่อ เซ็นทรัล เอ็มบาสซี ซึ่งเปิดดำเนินการแล้วในปัจจุบัน

ต่อมาปีพ.ศ. 2560 สถานเอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักร มีนโยบายขายที่ดิน 25 ไร่ ทั้งหมดที่เหลือของสถานทูต โดยมีแนวความคิดจะย้ายไปเช่าอาคารสำนักงานแทน


จนกระทั่งตกอยู่ในมือกลุ่มเซ็นทรัลในที่สุด …….

Related Articles

Back to top button
X
%d bloggers like this: