ส่องบูธต้องห้ามพลาดงาน THAIFEX 2018
เปิดให้ประชาชนตลอดผู้ที่สนใจในธุรกิจอาหารได้เข้าเยี่ยมชมแล้วตั้งแต่วันนี้ (29 พฤษภาคม 2561) ที่มีไปจนถึงวันที่ 2 มิถุนายน 2561 รวมระยะเวลา 5 วันเต็มสำหรับงาน THAIFEX WORLD OF FOOD ASIA 2018 ครั้งที่ 15 ณ ศูนย์แสดงสินค้าอิมแพ็ค เมืองทองธานี ในปีนี้ได้เปิดตัว Key Visual ใหม่ของงาน ซึ่งจะแสดงให้เห็นว่างาน Thaifex-World of Food Asia เป็นงานแสดงสินค้าทางด้านอาหารที่คลอบคลุมในอุตสาหกรรมอาหาร ทั้งในโซน Fine Food, Meat, Frozen Food, Seafood, Rice, Fruits & Vegetables, Drinks, Sweets & Confectionery, Coffee & Tea, Food Service, Food Technology และนอกจากงานนิทรรศการแล้ว ภายในงานยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจอีกมากมาย โดยทั้งหมดจัดแสดงในพื้นที่กว่า 107,000 ตารางเมตร
วันนี้แอดมินมีโอกาสได้เข้าไปเยี่ยมชมบูแสดงสินค้าต่างๆ ขออนุญาติรวมรวบมาให้ชมกันทั้งสิ้น 5 บูธต้องห้ามพลาด โดยขอเริ่มจากค่ายเอส แอนด์ พี ในปีนี้ได้นำเสนอผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปแช่แข็ง ได้แก่ กลุ่มอาหารมังสวิรัติ อาทิ ข้าวผัดคีนัวสมุนไพรมังสวิรัติ กลุ่มข้าวไรซ์เบอร์รี่ออแกนิค ซึ่งในปีนี้ได้ปรับบรรจุภัณฑ์ใหม่ และปรับน้ำหนักและราคาลดลงจากเดิม กลุ่มเยลลี่สูตรน้ำตาลน้อย กลุ่มขนมหวาน สินค้าใหม่ บัวลอยมันม่วงมะพร้าวอ่อนสูตรน้ำตาลน้อย กลุ่มเค้กแช่แข็ง สินค้าใหม่ ได้แก่ เค้กทุเรียน
ในส่วนของการส่งออก เอส แอนด์ พี ยังคงขยายผลิตภัณฑ์ไปตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง และครอบคลุมภูมิภาคต่างๆ มากขึ้น ทั้งอเมริกา ยุโรป และเอเชีย โดยมีผลิตภัณฑ์ส่งออก เช่น อาหารสำเร็จรูปแช่แข็ง และกลุ่มเครื่องแกงไทย ในปีนี้มีสินค้าใหม่อีก 2 รายการ คือ น้ำส้มตำ และน้ำยำ เพื่อเอาใจผู้บริโภคที่ชื่นชอบรสชาติจัดจ้านแบบไทยๆ ภาพรวมของกลุ่มธุรกิจเอส แอนด์ ตั้งเป้ารายได้กว่า 950 ล้านบาท เติบโตไม่ต่ำกว่า 15 %
ต่อกันที่ค่าย เบทาโกร เบทาโกร สำหรับงาน THAIFEX: World of Food Asia 2018 เครือเบทาโกรร่วมแสดงสินค้าอาหารคุณภาพสูง ภายใต้แนวคิด Uncompromising Quality ไม่ดีจริง…ไม่ถึงมือคุณ ชูไฮไลท์ Antibiotics – Free Zone ตอกย้ำความสำเร็จของสินค้าเอสเพียว (S-Pure) เนื้อหมู เนื้อไก่ ไข่ไก่ คุณภาพระดับพรีเมี่ยม ได้รับการรับรองไม่มียาปฏิชีวนะทั้งกระบวนการผลิต จากเอ็นเอสเอฟ (NSF) เป็นรายแรกของโลก พร้อมเปิดตัวสินค้าใหม่ ไส้กรอก S-Pure และ โซน Betagro Central Kitchen โชว์ผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป อาหารพร้อมทาน ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ หลากหลายรายการ ชม Cooking Show โดย Master Chef จาก Thailand Culinary Academy ตลอดวัน จำหน่ายสินค้าราคาพิเศษ ณ บูธเบทาโกร SS01, RR01 ฮอลล์ 7 อิมแพ็ค เมืองทองธานี
ส่วนทิศทางการตลาดในปีนี้ เบทาโกรจะเน้นตลาดอาหารสดระดับพรีเมี่ยม โดยปัจจุบัน S-Pure ถือครองส่วนแบ่งตลาดถึง 90% โดยตลาดในประเทศ มุ่งขยายช่องทางจัดจำหน่ายให้ครอบคลุมพื้นที่มากยิ่งขึ้น ทั้งในเขตเมืองใหญ่ เมืองท่องเที่ยว ผ่านร้านค้าปลีกชั้นนำ อาทิ Gourmet Market, Home Fresh Mart, Central Food Hall, Tops Market และ Villa Market เป็นต้น สำหรับตลาดส่งออก มีแผนขยายตลาดไปในประเทศ บาห์เรน กาตาร์ สเปน และโรมาเนีย โดยปีนี้ตั้งเป้าส่งออกเนื้อไก่ 78,000 ตัน เนื้อหมู 5,800 ตัน เพิ่มขึ้น 17% จากปีที่ผ่านมา
ส่วนภาพรวมตลาดอาหารแปรรูปและอาหารพร้อมทานของประเทศไทยในปัจจุบันมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น สำหรับสินค้าอาหารแปรูปของเครือเบทาโกร ไตรมาสแรกปีนี้ มีอัตราเติบโต 22% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา จึงใช้งบลงทุน 750 ล้านบาท เพื่อสร้างโรงงานผลิตสินค้าแห่งใหม่ หรือ Betagro Central Kitchen ในนิคมอุตสาหกรรมนวนคร จังหวัดปทุมธานี พื้นที่ 11,015 ตารางเมตร กำลังการผลิต 8,000 ตันต่อปี เพื่อรองรับตลาดดังกล่าว
จากผลการสำรวจความต้องการผู้บริโภคที่มีไลฟ์สไตล์แบบชีวิตคนเมือง พบว่า สินค้าประเภทแปรรูป และพร้อมทาน หรือ Ready to Eat กลายเป็นทางเลือกสำคัญของผู้บริโภคเพราะประหยัดเวลา และลดขั้นตอนของการเตรียมอาหาร โดยพบว่า ผู้บริโภคทานอาหารนอกบ้านกว่าครึ่งนึงของมื้ออาหารทั้งหมดต่อเดือน คือ เฉลี่ย 56 ครั้งต่อเดือน และเข้าร้านสะดวกซื้อ 21 ครั้งต่อเดือน1 เพื่อทานอาหารรองท้อง และกลายเป็นไลฟ์สไตล์ส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันไปแล้ว แม้ว่าผู้บริโภคจะเน้นเรื่องความง่าย สะดวกสบาย แต่ยังใส่ใจสุขภาพ เน้นคุณภาพอาหาร และรสชาติ
ในส่วนของ Betagro Central Kitchen แห่งใหม่ ได้สร้างศูนย์นวัตกรรมอาหาร (FIC) เพื่อรองรับเทรนด์อาหารในอนาคต ทำหน้าที่พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลาย ทั้งวัตถุดิบคุณภาพ ด้านโภชนาการ มากกว่า 1,000 รายการ ใน 6 หมวดสินค้า ได้แก่ 1) อาหารทานเล่นและสินค้าทอด (Appetizer) ประเภทหมู ไก่ 2) ผลิตภัณฑ์ไข่ปรุงสุก (Processed Egg) เช่น ไข่ต้มปอกเปลือก ไข่ตุ๋น 3) ข้าวกล่องพร้อมรับประทาน (Ready Meal) 4) กับข้าวสำเร็จรูป (Cuisine) 5) เบเกอรี่ (Bakery) และ 6) ผลิตภัณฑ์ปรุงรส (Seasoning) เช่น น้ำยำ น้ำจิ้ม เป็นต้น
นอกจากนี้ เครือเบทาโกร ยังได้ร่วมกับพันธมิตรคือ ห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ ฯลฯ ในการพัฒนาความหลากหลายของอาหารพร้อมทานเพื่อยกระดับมาตรฐานคุณภาพ รสชาติ รวมทั้ง ขนาดน้ำหนัก และ รูปแบบบรรจุภัณฑ์ (Packaging) เพิ่มความสะดวกสบาย ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค โดยคาดว่าจะเพิ่มยอดขายให้บริษัทฯ ถึง 650 ล้านบาท
สำหรับแผนขยายตลาดตลาดต่างประเทศ อาทิ บาห์เรน กาตาร์ สเปน และโรมาเนีย ในส่วนของ Betagro Central ตั้งเป้าหมายเพิ่มยอดขายให้บริษัทถึง 750 ล้านบาท และยปีนี้ตั้งเป้าส่งออกเนื้อไก่ 78,000 ตัน เนื้อหมู 5,800 ตัน เพิ่มขึ้น 17% จากปีที่ผ่านมา โดยปัจจุบัน เอส-เพียว ถือครองส่วนแบ่งตลาดถึง 90%
กาแฟดอยช้าง เปิดตัว “ดอยช้างคอฟฟี่แคปซูล” ผลิตภัณฑ์กาแฟแคปซูลระดับพรีเมี่ยม ด้วยเมล็ดกาแฟอราบิก้าในแบบ “Single Origin Specialty” การันตีคุณภาพระดับโลกจากสมาคมกาแฟพิเศษ (Specialty Coffee Association: SCA) มอบประสบการณ์รสชาติตามแบบฉบับกาแฟดอยช้างแท้ๆ ในรูปแบบใหม่ ให้ผู้บริโภคได้ลิ้มรสกาแฟไทยคุณภาพระดับโลกได้ทุกที่ ทุกเวลา
“ดอยช้างคอฟฟี่แคปซูล ถือได้ว่าเป็นการมอบทางเลือก และการสร้างประสบการณ์ใหม่ในการดื่มกาแฟดอยช้างให้กับผู้บริโภค” นายพิษณุชัย แก้วพิชัย ประธานที่ปรึกษาด้านธุรกิจ บริษัท ดอยช้าง คอฟฟี่ ออริจินอล จำกัด กล่าว “ด้วยพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนไป ทำให้กาแฟดอยช้างที่เดินเคียงข้างคอกาแฟระดับพรีเมี่ยมทั้งไทยและนานาชาติ ต้องการนำเสนอทางเลือกในการดื่มกาแฟของเราในรูปแบบต่างๆ โดยหลังจากการเปิดตัวโปรไฟล์เมล็ดกาแฟคั่วสี่รูปแบบไปเมื่อก่อนหน้านี้ (พรีเมี่ยม คลาสสิค, เอสเปรสโซ่ สุพรีม, ออร์แกนิค ซิกเนอเจอร์, และพีเบอร์รี่ คลาสสิค) ในวันนี้ เราได้เห็นเทรนด์คอกาแฟที่ต้องการความสะดวกในการดื่มกาแฟระดับคุณภาพนอกร้านคาเฟ่มากขึ้น ซึ่งเรามองเห็นว่ายังมีช่องว่างระหว่างผลิตภัณฑ์กาแฟโฮมยูส (Home-use coffee product) ที่สะดวกต่อการชง กับเมล็ดกาแฟระดับพรีเมี่ยมที่อาจดูยากต่อการเข้าถึง ดอยช้างคอฟฟี่แคปซูลจึงเป็นทางเลือกใหม่สำหรับคอกาแฟที่จะได้สัมผัสรสชาติกาแฟระดับพรีเมี่ยมของไทย ในรูปแบบที่เข้าถึงง่าย สะดวก ทุกที่ ทุกเวลา”
ในเบื้องต้น ตั้งเป้าการจัดจำหน่ายในช่วงปี 2561 ที่ไม่น้อยกว่า 100,000 แคปซูลต่อเดือน และจะเพิ่มขึ้นทุกๆ เดือนเมื่อเป็นที่รู้จัก โดยตั้งเป้าเฉลี่ยที่ไม่น้อยกว่า 180,000-200,000 แคปซูลต่อเดือนในปี 2562 โดยเลือกสองโปรไฟล์ที่เป็นที่นิยมในกลุ่มผู้บริโภคกาแฟคั่วบด ได้แก่ เอสเปรสโซ่ สุพรีมและพีเบอร์รี่ คลาสสิค เข้ามาสู่รูปแบบแคปซูลที่รับรองได้ว่าจะยังคงรสชาติและคุณภาพในแบบฉบับของดอยช้าง ผ่านการบรรจุในรูปแบบแคปซูลในโรงงานที่ได้มาตรฐาน ซึ่งแคปซูลของเราสามารถใช้ได้กับเครื่องเนสเปรสโซ่ที่มีวางจำหน่ายอยู่ในปัจจุบัน โดยในเร็วๆ นี้ จะนำเข้าเครื่องชงกาแฟแคปซูลของเราเองมาวางจำหน่ายต่อไป
ต่อกันที่ เอเซียติคฯ โดยบริษัท เอเซียติค อุตสาหกรรมเกษตร จำกัด ผู้ผลิต แปรรูป และส่งออกผลิตภัณฑ์จากมะพร้าวรายใหญ่ของประเทศไทยด้วยผลิตภัณฑ์หลากหลาย อาทิ “โคโค่แม็ก” (Cocomax) น้ำมะพร้าวแท้ 100% พร้อมดื่ม, “อัมพวา” (Ampawa) กะทิแท้ 100%ในขวด PET รายแรกของประเทศไทย, และ “มิลค์กี้ โคโค่” (Milky Coco) น้ำนมมะพร้าวพร้อมดื่มรายแรกของประเทศไทยที่มีส่วนผสมของน้ำและเนื้อมะพร้าว ภายใต้หลักการถ่ายทอดและแบ่งปันผลิตภัณฑ์จากมะพร้าวให้เป็นที่รู้จักทั่วโลก (Sharing Coconut Culture with The World)
ปีนี้ เอเชียติคฯ ได้เข้าร่วมแสดงสินค้าในงาน “THAIFEX – World of Food Asia 2018” ซึ่งในปีนี้ได้นำผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมะพร้าวมาจัดแสดง พร้อมกิจกรรมท้าลองและท้าชิม โดยในส่วนของ “โคโค่แม็ก” เครื่องดื่มจากธรรมชาติ (Natural Refreshing Drink) เพื่อสุขภาพที่ผลิตจากน้ำมะพร้าวแท้ 100% ซึ่งบริษัทฯ เป็นผู้ริเริ่มทำตลาดน้ำมะพร้าวสำเร็จรูปพร้อมดื่มในประเทศไทยและได้กระแสตอบรับดีมากจากผู้บริโภครุ่นใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพ และส่งผลให้ตลาดน้ำมะพร้าวขยายฐานใหญ่ขึ้น มีผู้ผลิตค่ายต่างๆ เข้ามาทำตลาดมากขึ้น โดยปัจจุบัน “โคโค่แม็ก” มียอดขายสูงสุดเป็นอันดับ 1 ในประเทศไทย ในหมวดน้ำมะพร้าวแท้ 100% จากผลสำรวจโดย Nielsen
ปัจจุบัน เอเชียติคฯ มีอัตราการเติบโตติดอันดับ 1 ใน 3 ของกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เป็นผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์มะพร้าวของคนไทยสู่เวทีโลก ด้วยระบบบริหารจัดการธุรกิจมะพร้าวเชิงพาณิชย์ผ่านนวัตกรรมและกระบวนการผลิตที่ทันสมัยและครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเน้นการพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ให้ใกล้เคียงกับธรรมชาติมากที่สุดและได้นำความเชี่ยวชาญและความสำเร็จในการส่งออกผลิตภัณฑ์มะพร้าวมากกว่า 30 ปี ไปยัง 5 ทวีป รวมกว่า 80 ประเทศทั่วโลก ด้วยการริเริ่มสร้างตลาดน้ำมะพร้าวสำเร็จรูปในประเทศไทยภายใต้
แบรนด์ “โคโค่แม็ก” รวมถึงการเปิดตัว “อัมพวา” กะทิแท้ 100% ในขวด PET เข้ามาปลุกตลาดกะทิสำเร็จรูปด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยและเพิ่มความสะดวกในการทำอาหาร
ปิดท้ายกันที่ บูธ ‘บมจ.เซ็ปเป้’ หรือ SAPPE ผู้นำการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มสไตล์ Functionnal Drink ที่มุ่งเน้นนวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์เรื่องสุขภาพและความงามคนรุ่นใหม่ ยกทัพสินค้าทั้ง 4 กลุ่มผลิตภัณฑ์ รวม 14 แบรนด์หลักชั้นนำระดับโลก มากกว่า 200 รายการ ร่วมจัดเต็มในงาน THAIFEX WORLD OF FOOD ASIA 2018 ภายในบูธธีม “Innovative Playground” สะท้อนความแข็งแกร่งแบรนด์สินค้า ที่ก้าวขึ้นสู่ระดับ Global Brands ครองใจลูกค้ากว่า 80 ประเทศทั่วโลก พร้อมเขย่าวงการ Food and Beverage เมืองไทยอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเปิดตัวขนมขบเคี้ยวที่ทำจากเนื้อปลาทะเลภายใต้แบรนด์ ZEA Max (ซีแม็กซ์) คาดเริ่มวางจำหน่ายได้ในไตรมาส 3 ปีนี้ หลังประสบความสำเร็จ กับการเปิดเกมบุกทำตลาด Beauti Jelly 2 รสชาติ เพื่อให้คนไทยได้ดูแลตัวเองอย่างเข้มข้นมากขึ้นในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา
SAPPE ได้นำทัพนวัตกรรมสินค้าที่มีจำหน่ายทั้งใน และต่างประเทศจาก 4 กลุ่มผลิตภัณฑ์ รวม14 แบรนด์หลัก เช่น เซ็ปเป้ บิวติ ดริ้งค์, เซ็ปเป้ อโลเวร่า,โมกุ โมกุ, กาแฟเพรียวคอฟฟี่, น้ำผักผลไม้รวม 100% เซ็ปเป้ ฟอร์วันเดย์ และนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดของ SAPPE ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งก็คือ “เซ็ปเป้ บิวติ เจลลี่” โดยเปิดตัว 2 รสชาติ คือ เซ็ปเป้ บิวติ เจลลี่ คอลลาเจน 1,000 มิลลิกรัม ซึ่งเป็นคอลลาเจนผสมวิตามินซี ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวพรรณ ทำให้ผิวดูสุขภาพดี และเซ็ปเป้ บิวติ เจลลี่ ไฟเบอร์ 4,000 มิลลิกรัม ที่มีส่วนผสมแอลคานิทีน ช่วยเรื่องของระบบขับถ่ายและเผาผลาญไขมัน จัดเป็นผลิตภัณฑ์ตัวแรกที่ขยายไลน์สินค้าสู่กลุ่ม Healthier Snack ซึ่งก็ได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี
ความพิเศษของ SAPPE ในปีนี้นอกจากเน้นเครื่องดื่มฟังก์ชันนอลดริ้งค์ต่อเนื่องแล้ว ยังเห็นโอกาสในการเติบโตของตลาดขนมขบเคี้ยวจึงเปิดตัวตลาดใหม่ในกลุ่ม Healthier Snack ที่นอกจากจะเปิดตัว ‘Beauti Jelly’ ออกมาแล้ว 2 รสชาติ ซึ่งได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี แล้วนั้น SAPPE ยังพร้อมเปิดตัวสำหรับผลิตภัณฑ์ชิ้นที่ 2 ภายใต้ กลุ่ม Healthier Snack ในงาน THAIFEX 2018 นี้อีกด้วย ซึ่งจะมาในรูปแบบขนมขบเคี้ยว ที่ทำจากเนื้อปลาสูง ภายใต้แบรนด์ Zea Max (ซีแม็กซ์) ที่มีการใช้วัตถุดิบเป็นเนื้อปลาแท้จากทะเลมากถึง 90% จัดได้ว่าสูงที่สุดในตลาดขณะนี้
โดยในงานนี้ SAPPE ได้ประเดิม Zea Max ให้ผู้บริโภคได้เลือกชิมเลือกซื้อก่อนใครถึง 3 รสชาติ ได้แก่ รสชาติต้นตำรับ (Original), รสต้มยำหม้อไฟและรสทรงเครื่อง ทั้งนี้คาดว่า Zea Max จะเริ่มวางจำหน่ายได้ภายในไตรมาส 3 นี้.
นี่เป็นเพียงบูธส่วนหนึ่งของการจัดงาน THAIFEX 2018 ยังมีบูธอื่นๆ อีกมากมายที่น่าสนใจรอให้คุณแวะเยี่ยมเยือนตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 2 มิถุนายนนี้เท่านั้น