สายการบินเฮ ICAO ปลดล็อกธงแดง
องค์การการบินพลเรือนระหว่างประ เทศ (ICAO) ประกาศปลดธงแดงประเทศไทยจากประเ ทศที่มีข้อบกพร่องที่มีนัยสำคัญ ต่อความปลอดภัยด้านการบิน (SSC) หลังจาก ICAO เข้ามาตรวจสอบไทย ในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยการปลดธงแดง จะส่งผลให้สายการบินสัญชาติไทยส ามารถเปิดเส้นทางใหม่ เพิ่มความถี่เที่ยวบิน เปลี่ยนขนาดเครื่องบินและให้บริ การแบบเช่าเหมาลำ (Chartered flight) ในประเทศที่มีมาตรการออกมาระงับ การบิน เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ทั้งนี้ ICAO ได้ปักธงแดงไทยตั้งแต่เดือนมิถุ นายน 2015 จากปัญหาด้านการกำกับดูแลด้านมา ตรฐานความปลอดภัยการบินพลเรือน จึงส่งผลให้ไทยจัดตั้งหน่วยงานกำ กับดูแลใหม่คือ สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเท ศไทย (CAAT) เพื่อแก้ไขปัญหา 2 ส่วนหลักคือ การออกใบรับรองผู้ดำเนินการเดิน อากาศใหม่ (AOC Certification) และการแก้ไขข้อบกพร่อง SSC 33 ข้อ
Analysis
·
อีไอซีมองว่าการปลดธงแดงจะส่งผล ดีต่อไทยทั้งในอุตสาหกรรมการบิ นและการท่องเที่ยว สำหรับอุตสาหกรรมการบิน การปลดธงแดงจะช่วยสร้างความเชื่ อถือของหน่วยงานด้านการบินของไท ย และสร้างความเชื่อมั่นต่อนักท่อ งเที่ยวในการเลือกใช้สายการบินสั ญชาติไทย อีกทั้งยังอาจส่งผลให้สำนักงานบ ริหารองค์กรการบินแห่งสหรัฐอเมริ กา (FAA) ปรับเพิ่มระดับมาตรฐานด้านการบิ นของไทยจากประเภท 2 ซึ่งห้ามการเปิดเส้นทางใหม่ในสห รัฐฯ เป็นประเภท 1 ดังเดิมก่อนถูกปักธงแดง สำหรับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เ ดินทางมาไทยมีแนวโน้มจะปรับเพิ่ มขึ้น โดยเฉพาะการเดินทางในรูปแบบการเ ช่าเหมาลำ เนื่องจากหลายสายการบินที่ได้ AOC recertification สามารถกลับมาให้บริการได้แล้ว
·
การแข่งขันระหว่างสายการบินมีแนวโน้มรุนแรงยิ่งขึ้นจากการเปิดเ ส้นทางใหม่และการขาดแคลนบุคลากร ซึ่งในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา มีหลายสายการบินเตรียมเปิดให้บริ การในเส้นทางยอดนิยม เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จากสนามบินหลักอย่าง สุวรรณภูมิและดอนเมืองหรือจากสน ามบินรองอื่นๆ เช่น อู่ตะเภา เชียงใหม่ ภูเก็ต นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของเที่ยวบินยังส่ง ผลให้เกิดการแข่งขันเพื่อแย่งชิ งบุคลากรด้านการบิน เช่น นักบิน แอร์โฮสเตส วิศวกร และช่างเทคนิค เป็นต้น
Implication
·
อีไอซีมองข้อจำกัดจากปัญหาด้าน time slot และความจุของสนามบินทั้งในไทยแล ะต่างประเทศ อาจทำให้การเพิ่มความถี่และเปิด เที่ยวบินใหม่ไม่ราบรื่นนัก ในปัจจุบัน สนามบินในไทยหลายแห่งเริ่มมี time slot ที่หนาแน่นแล้ว ประกอบกับจำนวนผู้โดยสารที่เกิน ขีดความสามารถในการรองรับ ในขณะเดียวกัน สนามบินในต่างประเทศ โดยเฉพาะสนามบินในเส้นทางที่ได้ รับความนิยม เช่น นาริตะของญี่ปุ่น และอินชอนของเกาหลีใต้ ก็ประสบกับปัญหาที่คล้ายคลึงกัน ทำให้การเพิ่มความถี่และขยายเส้ นทางอาจทำได้ไม่ง่ายนัก
·
“นิวเจน” จุดพลุรับ
นายเจริญพงษ์ ศรประสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบินนิวเจน เปิดเผยว่า หลังจากที่องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลมาตรฐานความปลอดภัยทางด้านการบินระดับโลกได้ปลดธงแดงหน้าชื่อประเทศไทยออกนั้น ถือเป็นข่าวดีของอุตสาหกรรมการบินของประเทศไทย เพราะจะทำให้ผู้ให้บริการสายการบินต่างๆเดินหน้าขยายธุรกิจได้อย่างเต็มที่โดยไม่มีข้อกังวลใดๆ อีกทั้งยังส่งผลดีต่อภาพลักษณ์การให้บริการของประเทศไทยที่ได้มาตรฐานระดับสากล และจะสร้างความมั่นใจแก่นักท่องเที่ยวและผู้โดยสารที่จะเดินทางมาประเทศไทย
โดยในส่วนของสายการบินนิวเจนนั้นจะขยายธุรกิจอย่างเต็มรูปแบบ โดยขยายเส้นทางการบินควบคู่กันทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันสายการบินนิวเจนประสบความสำเร็จในการให้บริการสายการบินระหว่างประเทศโดยเฉพาะเส้นทาง ไทย-จีน จำนวน 3 เส้นทางนั้น ล่าสุดได้มีแผนที่จะเปิดให้บริการเส้นทางการบินภายในปี2561 อีก 3 ประเทศ ไต้หวัน เกาหลีใต้ และอินเดีย
นอกจากนี้ยังเตรียมเปิดเส้นทางการบินภายในประเทศ โดยได้ร่วมมือกับผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ผู้อำนวยการท่าอากาศยานนครราชสีมา หอการค้าจังหวัดนครราชสีมา และตัวแทนจากภาคเอกชนทุกภาคส่วน เพื่อเตรียมจะเปิดเส้นทางบิน นครราชสีมา – เชียงใหม่ และเส้นทางบินนครราชสีมา – ภูเก็ต ในวันที่ 3 ธันวาคมปีนี้ ซึ่งคาดว่าการเปิดเส้นทางบินใหม่ทั้ง 2 เส้นทางจะมีผู้โดยสารเพิ่มขึ้นปีละ 200,000 ราย
ทั้งนี้หลังจากที่สายการบินนิวเจนเปิดเส้นทางการบินใหม่ทั้งในประเทศและต่างประเทศได้ตามแผนจะทำให้มีผู้โดยสารเพิ่มขึ้น ประมาณ.500,000ราย และหากรวมกับแผนการขยายเส้นทางการบินต่างประเทศแล้วจะทำให้สายการบินนิวเจนมีเส้นทางการบินรวมทั้งสิ้นมากกว่า 50 เส้นทางภายในปี 2561 ส่วนปี 2560 นี้ ยังคงคาดการณ์ว่าจะมี จำนวนผู้โดยสาร 1,500,000 ราย
ด้านนาย อัศวิน ยังกีรติวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบิน ไทย ไลอ้อน แอร์ กล่าวว่า การที่องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศหรือไอเคโอ (ICAO) ปลดธงแดงหน้าชื่อประเทศไทยแล้วนั้น เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงมาตรฐานด้านความปลอดภัยในด้านการบินของประเทศไทยที่มีการพัฒนามากยิ่งขึ้น ไม่เพียงแค่สายการบิน ไทย ไลอ้อน แอร์ แต่ยังรวมถึงสายการบินอื่นๆ ที่สามารถขยายเส้นทางบินไปได้เรื่อยๆ ถือเป็นการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นในตลาดการบิน
หากการปลดธงแดงของประเทศไทยเป็นที่สำเร็จเรียบร้อยแล้ว มีแผนที่จะขยายเส้นทางบินเพิ่มขึ้นไปยังประเทศอินเดีย ประเทศญี่ปุ่น และประเทศเกาหลีใต้ เป็นต้น โดยคาดการณ์ที่จะเริ่มบินในช่วงกลางปี 2561 ซึ่งในเดือนพฤศจิกายนของปีนี้ สายการบิน ไทย ไลอ้อน แอร์ เตรียมพร้อมที่จะรับเครื่องบินแอร์บัส A330-300 ลำใหม่ เพื่อรองรับเส้นทางการบินที่เพิ่มขึ้นในอนาคต
และในวันที่ 17 ตุลาคมนี้ สายการบิน ไทย ไลอ้อน แอร์ ได้เตรียมพร้อมที่จะเริ่มให้บริการทางการบินแบบเช่าเหมาลำ ซึ่งเป็นเส้นทางบินปฐมฤกษ์จาก ฉางซา-อู่ตะเภา ถือเป็นการใช้บริการท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภาเป็นครั้งแรก เพื่อรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ทั้งด้านการท่องเที่ยวและการคมนาคมขนส่งทางอากาศต่อไป