ถอดกลยุทธ์ “ออลล์ อินสไปร์” เล็กพริกขี้หนู
แม้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในเมืองไทยจะมีการแข่งขันที่ค่อนข้างสูง และรายล้อมไปด้วยแบรนด์ระดับบิ๊กๆ มากมาย แต่ยังคงมีช่องว่างให้ผู้เล่นหน้าใหม่ๆ กระโดดเข้าไปสร้างสีสันให้ตลาดได้ไม่ยากนัก
“ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์” ถือเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการน้องใหม่ ที่น่าสนใจด้วย “ราคา ทำเล และดีไซน์” ที่เหมาะสมถือเป็นส่วนผสมที่ลงตัวที่ทำให้ชื่อของ ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ เป็นที่น่าจับตามองในการสร้างความแตกต่างอย่างมีสไตล์ให้กับตลาดอสังหาฯ ได้ไม่ยากนัก
บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ก่อตั้งเมื่อปีพ.ศ. 2556 หรือเมื่อ 4 ปีที่ผ่านมาถือเป็นน้องใหม่ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แต่ภายใน 4 ปีนี้ กลับโตแบบก้าวกระโดดจนคาดการณ์ว่าปีนี้จะมียอดขายทะลุ 10,000 ล้านบาท
จุดกำเนิดของ“ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์” ที่มีผู้บริหารหนุ่มอย่าง “ธนากร ธนวริทธิ์” บอกถึงจุดเริ่มต้นและเส้นทางชีวิตสู่การเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในวันนี้ได้อย่างน่าสนใจว่า เดิมทำงานในธุรกิจรีเทลอย่าง ซีพีออลล์, สตาร์บัคส์ ดูแลในเรื่องการขยายสาขาที่ต้องศึกษาเรื่องทำเลอย่างจริงจังทำให้มองเห็นโอกาสบวกกับนำความรู้พัฒนามาเป็นนักลงทุนคอนโดมิเนียมในลักษณะซื้อมาขายไป รวมทั้งปล่อยเช่า จนกระทั่งมั่นใจจึงตัดสินใจตั้งบริษัทเพื่อพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของตัวเอง จนกลายเป็น ออลล์ อินสไปร์ จนทุกวันนี้
โลเกชั่นหรือทำเลคือหัวใจสำคัญของการทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่ว่ากันว่าใครได้ทำเลที่ดีไปครองถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว ดังนั้นในฐานะผู้ประกอบการน้องใหม่ที่ต้องแจ้งเกิดในตลาดจึงเลือกปักหมุดที่ “ลาซาล” เนื่องจากเป็นทำเลที่เพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานอย่างถนนซึ่งเชื่อมโยงทั้ง 3 สาย คือ สุขุมวิท บางนาตราดและศรีนครินทร์ รวมทั้งระยะห่างจากรถไฟฟ้าสายสีเขียวเพียง 400-500 เมตร ที่สำคัญทำเลดังกล่าวมีราคาที่ไม่สูงมาก
โครงการแรกปรากฏขึ้นในชื่อ The Excel Bearing ตั้งอยู่ซอยลาซาล 11 จากนั้นได้พัฒนาโครงการต่างๆในย่านลาซาลอย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการ Hideway ลาซาล,PARK , GROOOVE ในย่านต่าง ๆ อย่างอุดมสุข คูคต เป็นต้น รวมทั้งโครงการ RISE ย่านพระราม 9 โครงการ Excel สุขุมวิท 50 ,รัชดา 17 ในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท เพื่อจับกลุ่มเป้าหมายลูกค้าที่มีฐานเงินเดือน 20,000-50,000 บาท ซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่มีสัดส่วน 55% ของจำนวนประชากรในประเทศไทย เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์ไปสู่คนส่วนใหญ่ในประเทศก่อนจะขยายไปยังโปรดักท์อื่นๆ ต่อไป รวมระยะเวลาเปิดโครงการต้ังแต่ปี 2014-2017 เปิดโครงการมาแล้วทั้งสิ้น 11 โครงการ 4,193 ยูนิต รวมมูลค่าโครงการ 8,900 ล้านบาท
นอกจากราคาที่โดน ในทำเลที่ใช่แล้ว ออลล์ อินสไปร์ ไม่ลืมที่จะนำเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยมาตอบโจทย์ลูกค้าคนรุ่นใหม่ โดยก่อนหน้านี้เปิด ” ALL INSPIRE LOUNGE” Life Style Space ภายใต้ความร่วมมือกับ พารากอน ซีนีเพล็กซ์ ในระยะเวลา 3 ปีด้วยค่าเช่า 60 ล้านบาท ถือเป็นการเปิดประสบการณ์พิเศษสำหรับการชมภาพยนตร์ มีพื้นที่เลานจ์ ขนาดกว่า 100 ตารางเมตร สามารถรองรับได้กว่า 30 คนซึ่ง ครอบครัวของออลล์ อินสไปร์ฯ ที่มาใช้บริการจะได้รับสิทธิ์บริการ Wi-Fi Password พร้อมด้วยเซตขนมและเครื่องดื่ม (Complimentary Set) ซึ่งสามารถใช้เป็นมุมพักผ่อน นัดพบ เป็นต้น ผ่านกลยุทธ์ CRM (Create Real Motivation)
เดินหน้าจัดเต็มด้วยการจับมือกับ นาสเกต รีเทล เปิดตัว “ Nasket” ยกทุกห้างมาไว้ที่ห้อง ซึ่งถือเป็นรายแรกในประเทศไทยสำหรับคอนโด Low-rise ที่เปลี่ยนชีวิตคนอยู่คอนโด แค่สแกนบาร์โค้ด สินค้าก็ส่งถึงห้องได้ทันที ตอบโจทย์ความสะดวกสบาย
โดยการบริการของ Nasket จะแบ่งเป็น Grocery สั่งของง่ายๆ แค่สแกนบาร์โค้ด Home Service บริการเรียกแม่บ้านทำความสะอาดและซ่อมบำรุง Food Ordering สั่งอาหารอร่อยจากร้านดังได้ทันที Bill Payment จ่ายบิลง่ายๆ แค่สแกนบาร์โค้ด Video Door Bell ไม่ว่าใครมาหาก็สามารถเห็นหน้าก่อน และ Message Broadcasting บริการส่งข่าวจราจรตอนเช้า ทั้งหมดจะทำให้ชีวิตในเมืองง่ายมากยิ่งขึ้น โดยนำร่องที่ โครงการ ดิเอ็กเซล กรูฟ ลาซาล 52 Phase 3 และเตรียมต่อยอดโครงการอื่นๆ ต่อไป
และในปี 2019 นี้ ออลล์ อินสไปร์ ล้ำหน้าอีกขั้นด้วยการเตรียมนำเทคโนโลยีที่มีชื่อว่า Smart Mirror กระจกส่องหน้าฝังจอภาพ แสดงข้อมูลสภาพอากาศ สภาพการจราจรในเส้นทางต่างๆ และนัดหมายต่าง ๆ ได้มาเตรียมเสริฟให้กับลูกบ้านในเร็วๆ นี้
กลุ่มลูกค้าหลักของออลล์ อินสไปร์นอกจากกลุ่มคนไทยแล้ว ต่างชาติถือเป็นอีกหนึ่งกลุ่มเป้าหมายสำคัญ โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่นและสิงค์โปร์โดยบริษัทได้จัดตั้งบริษัทลูกในนาม ดีไทยเรียลเอสเตทดูแลลูกค้ากลุ่มนี้โดยเฉพาะ ซึ่งจากการที่มีฐานต่างชาติสูงถึง 40% ในเวลานี้ ธนากรมองว่าส่งผลดีต่อบริษัทในด้านกระแสเงินสดเป็นอย่างมาก โดยปีนี้วางงบซื้อที่ดิน 5,000 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเท่าตัว ซึ่งที่ดินทุกแปลง ธนากรเป็นคนซื้อที่ดินด้วยตัวเองทุกแปลง โดยใช้ประสบการณ์จากอาชีพเดิมเป็นแต้มต่อ
ด้านภาพรวมตลาดอสังหาฯ ปี 2561 ธนากร มองว่า มีแนวโน้มที่จะปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น ยังคงมีเสถียรภาพในระดับหนึ่ง เนื่องจากภาครัฐเดินหน้าโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ รวมทั้งโครงการรถไฟฟ้าหลายเส้นทางที่จะเริ่มทยอยเสร็จจะเป็นตัวช่วยผลักดันให้ตลาดเติบโต รวมถึงหนี้ภาคครัวเรือนในกลุ่มของลูกค้าระดับกลาง ระดับล่าง ที่มีแนวโน้มการปรับตัวลดลง จะเป็นปัจจัยเสริมให้ปีนี้เกิดกำลังการซื้อที่อยู่อาศัย และเกิดการใช้จ่ายภายในประเทศมากขึ้น
จากการเริ่มต้นพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยมาตั้งแต่ปี 2556 จนถึงปัจจุบัน ได้พัฒนาโครงการมาแล้ว 11 โครงการ รวมกว่า 4,000 ยูนิต มูลค่ากว่า 8,700 ล้านบาท ในส่วนของยอดขายปี 2560 อยู่ที่ 5,500 ล้านบาท ซึ่งเติบโตอย่างก้าวกระโดดจากปี 2559 ที่มียอดขาย 2,300 ล้านบาท ขณะที่มียอดขายรอรับรู้รายได้ประมาณ 7,500 ล้านบาท ซึ่งนับว่าเป็นบริษัทอสังหาฯ น้องใหม่ที่เติบโตได้อย่างรวดเร็ว
ทั้งนี้ รายได้บริษัทในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา แบ่งเป็นคอนโดโลว์ไรส์ 3,126 ล้านบาท คอนโดไฮไรส์มูลค่า 4,161 ล้านบาท แนวราบ 1,305 ล้านบาท กับวิลล่า 1,519 ล้านบาท มูลค่ารวม 10,110 ล้านบาท
สำหรับแผนดำเนินงานในปีนี้ มีแผนที่จะรุกตลาดอสังหาริมทรัพย์เพิ่มมากขึ้น ตั้งเป้าเปิดโครงการใหม่ในปีนี้อย่างน้อย 7 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 10,000 ล้านบาท โดยในปีนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกของการบุกตลาดทั้งโครงการแนวราบ โครงการคอนโดมิเนียมรูปแบบ High Rise และโครงการคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่
นอกจากนี้ยังตั้งเป้ารายได้ 5,000 ล้านบาท ยอดขาย อยู่ที่ 8,000 ล้านบาท ซึ่งยังคงพัฒนาโครงการโดยเน้นทำเลใกล้รถไฟฟ้าเดินทางสะดวก มากไปกว่านั้นต้องเป็นที่อยู่อาศัยที่สะท้อนไลฟ์สไตล์ และสร้างประสบการณ์ชีวิตเหนือระดับให้แก่ผู้พักอาศัย
สำหรับโครงการที่เป็นไฮไลท์ของปีนี้ คือ โครงการคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ จับกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์และชาวต่างชาติ โครงการแนวราบพัฒนาในรูปแบบทาวน์โฮม และ โครงการคอนโดมิเนียมรูปแบบ High Rise
ซึ่งทั้ง 3 โครงการถือว่าเป็นครั้งแรกในการบุกตลาดเซกเมนท์ใหม่ของ ออลล์ อินสไปร์ฯ เพื่อปรับตัวรับการแข่งขันทางธุรกิจที่สูงขึ้น ด้วยการขยายสินค้าไปในทุกสินค้า ทุกระดับราคา สร้างความยืดหยุ่นและบริหารความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ
ธนากรยอมรับว่า ในฐานะบริษัทน้องใหม่ที่เปิดตัวไม่นานถือว่าเติบโตเร็วมาก หากนับรวมโครงการทั้งหมดรวมถึงปีนี้จะมีท้ังสิ้น 18 โครงการรวมมูลค่า 2 หมื่นล้านบาท แต่เขามั่นใจว่าปีนี้ตลาดอสังหาสดใสแน่นอน ตลาดต่างชาติที่เขามั่นใจว่าเข้าถึง รวมท้ังการแตกเซกเมนท์ที่ครอบคลุมจากเดิมในช่วงเปิดตัวเริ่มที่ระดับราคา 1-3 ล้านบาท เพิ่มเป็น 3-5 ล้านบาท และ 20 ล้านบาทขึ้นไปทำให้เข้าถึงทุกกลุ่มลูกค้า
ถือว่าไม่ธรรมดาสำหรับน้องใหม่ในธุรกิจอสังหาอย่างออลล์ อินสไปร์ ที่เล็กแต่พริกขี้หนู !!!!