Real Estate

ครึ่งปีแรกอสังหายิ้มถ้วนหน้า

ผ่านและพ้นครึ่งปีแรกไปได้อย่างโล่งใจสำหรับภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์บ้านเราที่ต้องบอกว่า

รับทรัพย์กันถ้วนหน้าก็ว่าได้ สวนทางกับภาพรวมเศรษฐกิจที่ยังคงคลุกฝุ่นอยู่ในเวลานี้

มั่นคง ยอดพุ่ง  1,320 ล้าน 

วรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือ MK เปิดเผยว่า ตลอด 6 เดือนแรกของปี 2560 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและบริการรวม 1,326.02 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 104.11 ล้านบาทเมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และมีกำไรขั้นต้นจากการดำเนินธุรกิจรวมอยู่ที่ 475.36 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.7 ล้านบาท จากรายได้ในธุรกิจหลักและธุรกิจย่อย ประกอบด้วย รายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 1,185.08 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 63.83 ล้านบาท หรือคิดเป็น 5.69% นอกจากนี้ ยังมีกำไรขั้นต้นจากการขายอสังหาริมทรัพย์ 401.49 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.92 ล้านบาท จากการพัฒนาโครงการแนวราบอย่างต่อเนื่อง

ในส่วนของธุรกิจให้เช่าและบริการ มีรายได้ 92.08 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 52.5 ล้านบาท หรือคิดเป็น 75.39% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นเป็นรายได้จากการเช่าและบริการพื้นที่คลังสินค้าและโรงงาน ของ บริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทฯ ถือหุ้นส่วน 100% ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นจากธุรกิจให้เช่าและบริการรวมเท่ากับ 52.52 ล้านบาท หรือเพิ่มถึง 88.93% นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากธุรกิจสนามกอล์ฟและการบริหารอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 48.85 ล้านบาท ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา

 

วรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์ วรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์

“ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2560 ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังชะลอตัว และไม่มีมาตรการส่งเสริมจากภาครัฐ ดังเช่นปีที่ผ่านมา แต่บริษัทฯ ยังสามารถสร้างรายได้จากการขายสูงขึ้นกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ด้วยกลยุทธ์การรุกตลาดบ้านแนวราบอย่างต่อเนื่องบนทำเลศักยภาพ พร้อมพัฒนาแบบบ้านให้มีความร่วมสมัย มีการนำเทคโนลีเพื่อที่อยู่อาศัยมาใช้ เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตของสังคมยุคปัจจุบัน ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีมากจากลูกค้า ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทฯมีแผนเปิดตัวโครงการบ้าน 2 โครงการได้แก่ โครงการบ้านเดี่ยวชวนชื่นไพร์ม กรุงเทพ-ปทุมธานี และ โครงการบ้านแฝด ชวนชื่นพาร์คอ่อนนุช-วงแหวน และคอนโดมิเนียม 1 โครงการ ได้แก่โครงการพาร์คคอร์ท สุขุมวิท 77 ซึ่งจะเปิดขายในไตรมาส 4 นี้” นายวรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์ กล่าวสรุป

“เอสซีฯ” โตทั้งรายได้และกำไรสุทธิ 

ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การดำเนินงานของ SC ในปีนี้เป็นไปตามแผนธุรกิจที่วางไว้ สำหรับไตรมาส 2 เติบโตทั้งรายได้และกำไรสุทธิ มีรายได้รวม 2,860 ล้านบาท เติบโต 63% (QoQ) เป็นรายได้จากการขาย 2,640 ล้านบาท รายได้จากการเช่าและบริการ 218 ล้านบาท กำไรสุทธิ 264 ล้านบาท เติบโต 252% (QoQ) โดยมียอดขายรอโอนหรือ Backlog ประมาณ 9,330 ล้านบาทที่จะทยอยรับรู้รายได้ในปี 2560-2563 ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2560 บริษัทและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวม และหนี้สินรวมเท่ากับ 36,203 ล้านบาท และ 22,216 ล้านบาทตามลำดับ สำหรับครึ่งปีหลังมีแผนเปิดแนวราบทุกระดับราคา 9 โครงการใหม่ มูลค่าโครงการรวม 11,450 ล้านบาท

โดยไตรมาส 3 นี้ จะเปิดโครงการใหม่พร้อมกัน 2 โครงการ วันที่ 9-10 ก.ย. เป็นโครงการบ้านเดี่ยว มูลค่ารวม 2,500 ล้านบาท ได้แก่

1. โครงการบางกอก บูเลอวาร์ด รังสิต ตั้งอยู่ติดถนนรังสิต-นครนายก พื้นที่กว่า 36 ไร่ มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท จำนวน 132 ยูนิต ราคาเริ่ม 6 ล้านบาท

2. โครงการเพฟ รามอินทรา-วงแหวน ตั้งอยู่เลียบถนนมอเตอร์เวย์วงแหวนรอบนอก และใกล้ทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ พื้นที่กว่า 78 ไร่ มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท จำนวน 308 ยูนิต ราคาเริ่ม 4 ล้านต้น

นอกจากนี้ได้จัดทำภาพยนตร์โฆษณา ชื่อ “30 DAYS STAYCATION” เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวแนวคิดการออกแบบบ้านซีรี่ส์ใหม่ที่ตอบโจทย์ human-centric พร้อมกับแรงบันดาลใจจากเมืองท่องเที่ยวทั่วโลกสู่วิถีการพักผ่อนมารวมไว้ในหลากหลายโครงการ ซึ่งเฟสแรกประกอบด้วยบ้านเดี่ยว 4 โครงการด้วยกัน ได้แก่ 2 โครงการใหม่ข้างต้น พร้อมกับโครงการแกรนด์บางกอก บูเลอวาร์ด ศรีนครินทร์ และ โครงการเวนิว พระราม 5-2 ซึ่งจากเฟสแรกของการเปิดตัว 2 โครงการนี้ ได้รับการตอบรับดีมาก สามารถทํายอดขายรวมกันถึง 600 ล้านบาท

“พฤกษา” ยังแข็งแกร่ง 

นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท บริษัทพฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลประกอบการครึ่งปีแรก ประจำปี 2560ว่า ทำยอดขายได้ 26,150 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 20.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2559 ที่มียอดขาย 21,635 ล้านบาท โดยยอดขายที่เติบโตขึ้นมาจากการเปิดขายคอนโดมิเนียมใหม่ 3 โครงการ คือ เดอะทรี สุขุมวิท 71-เอกมัย เดอะรีเซิร์ฟ ทองหล่อ และแชปเตอร์วัน ชายน์ บางโพนอกจากนี้บริษัทฯ ยังสามารถทำรายได้รวม 20,554 ล้านบาทและกำไรสุทธิ 2,425 ล้านบาท

ส่วนภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯและปริมณฑล ครึ่งปีแรกยอดขายยังเติบโตอยู่ที่ 15.9% ถือว่าเติบโตกว่าที่คาดการณ์ไว้ และคาดว่าปี 2560 จะโตอยู่ที่ 7% สะท้อนให้เห็นว่าภาคอสังหาริมทรัพย์เริ่มมีการฟื้นตัวเนื่องจากผู้ประกอบการมีการปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน รวมถึงพฤกษา ที่มีการรุกตลาดพรีเมียมเพื่อขยายฐานลูกค้าระดับบนที่มีกำลังซื้อสูง และมีการขยายธุรกิจอื่นๆ ที่สามารถสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง

โดยในครึ่งปีแรก กลุ่มธุรกิจแวลู เปิดโครงการใหม่ไปแล้ว 31 โครงการ และมีแผนเปิดโครงการใหม่อีก 35 โครงการ ตามแผนการเปิดโครงการใหม่ในปีนี้ รวม 66 โครงการคิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 58,300 ล้านบาท โดย ณ สิ้นไตรมาส 2 ยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างการขาย (Active Projects) ทั้งหมดอยู่ที่ 183 โครงการ มูลค่า94,901 ล้านบาท และมียอดรอรับรู้รายได้ (Backlog) ของกลุ่มธุรกิจแวลูอยู่ที่23,284 ล้านบาท จะรับรู้รายได้ในปีนี้ 11,629 ล้านบาท

 

“ORI” กำไร Q2 โตทะลุ 227% 

พีระพงศ์-จรูญเอก พีระพงศ์-จรูญเอก

 

นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้ แบรนด์เคนซิงตัน, นอตติ้ง ฮิลล์, และไนท์บริดจ์ เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2560 มีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 550.7 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากไตรมาส 2/2559 ถึง 145.2% คิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้นที่ระดับร้อยละ 46.1 ขณะเดียวกัน มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 238.7 ล้านบาท เติบโตขึ้นถึง 226.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ระดับร้อยละ 20.3 โดยรวมครึ่งปีกวาดกำไรไปแล้ว 410.7 ล้านบาท สวนกับทิศทางของภาพรวมตลาด

ขณะที่รายได้ในไตรมาส 2/2560 อยู่ที่ 1,176.4 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากไตรมาส 2/2559 ถึง 140.6% โดยครึ่งปีกวาดรายได้รวม 2,054.4 ล้านบาท

ขณะเดียวกัน สถานะยอดรอรับรู้รายได้ (แบ็กล็อก) ของบริษัท ณ ปิดครึ่งปีแรกได้ปรับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 25,285 ล้านบาท จากการผนึกกำลังกับบริษัท พราวด์ เรสซิเดนซ์ จำกัด ทำให้กลายเป็นบริษัทที่มียอดแบ็กล็อกสูงในระดับท็อปไฟว์ของตลาดสำหรับช่วงไตรมาส 3/2560 จะเดินหน้าสร้างยอดขายใหม่อย่างต่อเนื่อง

 

“ศุภาลัย” ลุย แนวราบ

นายอดิศักดิ์ วารินทร์ศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานโครงการภูมิภาค 3 บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หลังจากเข้าไปพัฒนาโครงการแนวราบในจังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อปลายปี ที่ผ่านมา กับโครงการ ศุภาลัย เบลล่า นครศรีธรรมราช ซึ่งได้รับกระแสตอบรับอย่างดีเป็นที่น่าพอใจ ล่าสุดเตรียมสานต่อความสำเร็จ เดินหน้าเปิดเพิ่มอีก 2 โครงการ ศุภาลัย พาร์ควิลล์ นครศรีธรรมราช บนพื้นที่โครงการ 35 ไร่ มูลค่าโครงการ 675 ล้านบาท บ้านเดี่ยวหรูและเป็นส่วนตัวเพียง 149 หลัง กับบ้านเดี่ยวประหยัดพลังงานสไตล์โมเดิร์น 2 ชั้น 3-4 ห้องนอน 3-4 ห้องน้ำ พื้นที่ใช้สอยเริ่ม 150-233 ตร.ม ในราคาเริ่มต้นไม่ถึง 4 ล้านบาท และอีกหนึ่งโครงการทำเลกลางเมือง เชื่อมต่อชีวิต ใกล้ชิดธรรมชาติกับ ศุภาลัย พรีโม่ นครศรีธรรมราช บนพื้นที่โครงการ 6 ไร่ มูลค่าโครงการ 160 ล้านบาท บ้านรุ่นใหม่และ ทาวน์โฮม สไตล์โมเดิร์น 2 ชั้น 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ พื้นที่ใช้สอยเริ่ม 113 ตร.ม ในราคาเริ่มต้น 2 ล้านกว่าบาท

ศุภาลัย ศุภาลัย

ด้านนายบุญชัย ชัยอนันต์บวร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานโครงการภูมิภาค 2 กล่าวว่า ทิศทางการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในจังหวัดอุบลราชธานีของศุภาลัย ยังคงเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่ๆ เพิ่มขึ้น ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านรุ่นใหม่ และทาวน์โฮม โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีโครงการในจังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 3 โครงการ คือ ศุภาลัย โมด้า อุบลราชธานี ศุภาลัย วิลล์ อุบลราชธานี ศุภาลัย เบลล่า อุบลราชธานี และล่าสุด ได้เข้าไปเปิดตัวโครงการใหม่ภายใต้ชื่อ ศุภาลัย พรีโม่ อุบลราชธานี ตั้งอยู่บนพื้นที่โครงการประมาณ 25 ไร่ จำนวน 171 แปลง มูลค่าโครงการ 450 ล้านบาท บ้านเดี่ยวประหยัดพลังงาน และทาวน์โฮมใหม่ สไตล์โมเดิร์น ขนาด 3-4 ห้องนอน ในราคาเริ่มต้น 1.59 ล้านบาท พร้อมของแถมหลายรายการ

‘เอพี ’ โตอย่างมั่นคง

อนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) กล่าวว่า จากกลยุทธ์ “คิดและสร้างความแตกต่าง” (AP THINK DIFFERENT) ตลอดจนการประสบความสำเร็จในคอนโดมิเนียมร่วมทุนกับทางกลุ่มมิตซูบิชิ เอสเตท ซึ่งในปีนี้ถือเป็นปีแรกที่คอนโดมิเนียมร่วมทุนก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มโอนกรรมสิทธิ์รับรู้รายได้มากถึง 4 โครงการ ส่งผลให้ผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตที่สูงมากเป็นประวัติการณ์ โดยมีรายได้รวมสูงถึง 10,593 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายได้ที่รวมผลการดำเนินงานจากคอนโดมิเนียมร่วมทุนในสัดส่วน 51% กับทางกลุ่มมิตซูบิชิ เอสเตท โดยแบ่งเป็นรายได้ที่เกิดขึ้นในช่วงไตรมาส 1 เท่ากับ 5,129 ล้านบาท และไตรมาส 2 เท่ากับ 5,464 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปี 2559 ถึง 23% ด้านกำไรสุทธิครึ่งปีแรกเท่ากับ 1,157 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% หากเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2559 ที่มีกำไรเท่ากับ 981 ล้านบาท โดยกำไรสุทธิในครึ่งปีแรกนี้แบ่งเป็นเกิดในช่วงไตรมาส 2 เท่ากับ 608 ล้านบาท และไตรมาส 1 เท่ากับ 549 ล้านบาท

ทั้งนี้ความคืบหน้าทางด้านยอดขายครึ่งปีแรก สามารถสร้าง ยอดขายรวมได้มากเป็นอันดับที่ 2 ของธุรกิจหรือเท่ากับ 15,000 ล้านบาท แต่หากรวมยอดขายจากโครงการใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเปิดพรีเซลไปเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคมที่ผ่านมานี้กับโครงการ LIFE ONE WIRELESS (ไลฟ์ วัน ไวร์เลส) ตลอดจนโครงการอื่นๆ ส่งผลให้บริษัทฯ มียอดขายรวม 7 เดือนแรก (ม.ค.-ก.ค.) มากถึง 23,300 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วกว่า 76.9% คิดเป็น 89.5% ของเป้าหมายยอดขายรวม 26,000 ล้านบาทที่ตั้งไว้ในปีนี้
สำหรับในช่วงครึ่งปีหลัง (5 เดือน ส.ค.-ธ.ค.) บริษัทฯ พร้อมเปิดตัวโครงการใหม่อีกจำนวน 18 โครงการ มูลค่ารวม 28,750 ล้านบาท โดยเป็นโครงการแนวราบมากถึง 17 โครงการ มูลค่า 19,750 ล้านบาท แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 7 โครงการ และทาวน์โฮม 10 โครงการ และคอนโดมิเนียมร่วมทุน 1 โครงการ LIFE อโศก-พระราม 9 มูลค่า 9,000 ล้านบาท ซึ่งทั้งหมดจะพร้อมเปิดพรีเซลระหว่างช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายนนี้ ซึ่งบริษัทฯ เชื่อมั่นว่าในช่วงเวลาที่เหลือพร้อมกับแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ในครึ่งปีหลัง (5 เดือน ส.ค.-ธ.ค.) จะสามารถสร้างยอดขายได้เกินเป้าที่ตั้งไว้ได้อย่างแน่นอน

อนุพงษ์ อัศวโภคิน อนุพงษ์ อัศวโภคิน
ภาพรวมการร่วมทุนกับทางกลุ่มมิติซูบิชิ เอสเตล หนึ่งในผู้นำการพัฒนาตลาดอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรในประเทศญี่ปุ่น ตลอดที่ผ่านมา (เริ่มร่วมทุนปี 2014) ได้ดำเนินพัฒนาคอนโดมิเนียมร่วมกันทั้งสิ้น 10 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 41,000 ล้านบาท สร้างยอดขายรวมได้มากถึง 80% และ 4 ใน 10 โครงการร่วมทุนได้แก่ RHYTHM สุขุมวิท 36-38, Aspire รัชดา-วงศ์สว่าง RHYTHM อโศก 2 และ Aspire สาทร-ท่าพระ ก่อสร้างแล้วเสร็จเริ่มส่งมอบแล้วตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา

ในช่วงครึ่งปีหลัง 5 เดือนที่เหลือ (ส.ค.-ธ.ค.) นี้บริษัทฯ เตรียมจัดงานเปิดตัว 17 โครงการแนวราบ ณ สำนักงานขายของทุกโครงการ โดยทั้ง 17 โครงการล้วนมีความพิเศษในเรื่องของนวัตกรรมดีไซน์ที่ได้รับพัฒนาขึ้นใหม่ เพื่อให้สอดรับกับความต้องการที่แตกต่างกันของลูกค้าในแต่ละทำเล

ทั้งนี้ ณ ปัจจุบัน (31 กรกฎาคม) บริษัทฯ มีสินค้ารอรับรู้รายได้ (Backlog) มูลค่ามากถึง 34,500 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบมูลค่า 3,820 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะรับรู้ทั้งหมดภายในปีนี้ และคอนโดมิเนียมมูลค่า 30,680 ล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้ไปจนถึงปี 2564

Related Articles

Back to top button
X
%d bloggers like this: