Biznews

การตลาดยุคใหม่หัวใจ Marketpreneur “ภก.ดร.แสงสุข พิทยานุกุล”แห่ง” สมูทอี”

การจะสร้างแบรนด์สักชิ้นให้เป็นที่ยอมรับทั้งตลาดในและต่างประเทศ ไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งเป็นธุรกิจครอบครัว ความสำเร็จมักมาไม่ค่อยถึงหากไม่มีความสามารถมากพอ เมื่อเทียบกับความเพียบพร้อมของบริษัทใหญ่ๆ ที่สามารถเนรมิตความสำเร็จได้ง่ายดายกว่า

แต่วันนี้ขอนำเสนออีกหนึ่งมุมมองแห่งความสำเร็จของธุรกิจครอบครัวที่สร้างชื่อเสียงและพิสูจน์ฝีมือจนเป็นที่ยอมรับในตลาดเวชสำอางซึ่งถือเป็นตลาดปราบเซียนเนื่องด้วยคู่แข่งฉกาจฉกรรจ์เมื่อเทียบกับธุรกิจอื่นๆ หลายเท่าตัว

เภสัชกร ดร.แสงสุข พิทยานุกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท สมูท อี จำกัด คือผู้ปลุกปั้นแบรนด์สมูท อี สร้างความแตกต่างให้โด่งดังจนเป็นที่ยอมรับมานานหลายสิบปี นอกจากสมูทอียังมีแบรนด์หลักอย่าง เดนทิสเต้ ซึ่งเป็นที่รู้จักและสร้างรายได้ให้กับบริษัทด้วยเช่นกัน ชีวิตของผู้ชายคนนี้ถือว่าไม่ธรรมดา เพราะท่านมีมุมมองใหม่ในเชิงธุรกิจให้คนรอบข้างได้นำไปใช้ เราไปทำความรู้จักผู้ชายคนนี้กัน

เภสัชกร ดร.แสงสุข เกิดและเติบโตในย่านเยาวราช ท่านเป็นลูกคนที่ 8 จากจำนวนพี่น้อง 9 คน โดยครอบครัวดำเนินธุรกิจส่งออกและนำเข้าสมุนไพรจีนในรูปแบบกงสีครอบครัวใหญ่ ทำให้มีโอกาสช่วยเหลืองานกิจการในบ้านแทบทุกอย่าง ตั้งแต่จัดเก็บสมุนไพร แบกของไปส่ง รวมถึงนำเช็คไปเข้าธนาคาร เรียกได้ว่ารับการปลูกฝังเรื่องการค้าขายมาตั้งแต่เด็ก

หลังจากเรียนจบเภสัชจาก ม.เชียงใหม่ ดร.แสงสุข ก็เริ่มเป็นเซลล์ขายยารักษาโรคในภาคตะวันออกและภาคอีสาน หลังจากทำงานได้สักพักก็กลับมาศึกษาต่อในระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยหลุยส์เซียน่าประเทศสหรัฐอเมริกา จบมาก็มาทำงานอยู่บริษัทขายยาสักพักใหญ่ ๆ ก็ลาออกแล้วมาเปิดร้านขายยาของตัวเองที่ศูนย์การค้าสยามแต่สุดท้ายก็มีเหตุที่จะต้องปิดไปเพราะทางห้างขอพื้นที่เช่าคืน

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ณ ขณะนั้นหลายคนอาจมองว่าเป็นโชคร้าย ดร.แสงสุข เองก็คิดเช่นนั้นแต่สำหรับภรรยาของ ดร.แสงสุขกลับมองว่านั่นคือ “โอกาส” จึงให้กำลังใจสามีในการเดินลุยต่อไปโดยบอกสามีว่า “เขาคงอยากให้พี่ไปรวยกว่านี้” กำลังใจและมุมมองที่ดีทำให้ ดร.แสงสุขไม่ท้อและเดินหน้าต่อไปจึงหันมาทำธุรกิจใหม่โดยการบริษัทนำเข้าสินค้าเวชภัณฑ์ที่เน้นทางด้านนวัตกรรมและนำเข้าสินค้ามาขายในประเทศไทย

จากจุดนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นและจุดประกายให้กับ ดร.แสงสุข ค้นพบผลิตภัณฑ์วิตามิน E ธรรมชาติที่เป็นผลิตภัณฑ์เวชสำอางค์นำเข้าซึ่งช่วงนั้นมีกระแสตอบรับที่ดีเพราะโด่งดังในต่างประเทศอยู่แล้วแต่ด้วยต้องนำเข้า ราคาจึงค่อนข้างสูงจึงตัดสินใจทำผลิตภัณฑ์ตัวนี้เอง กลายเป็นจุดกำเนิดของสมูทอี

จากสมูทอี พัฒนาจต่อเนื่องมาถึง เดนทิสเต้ ซึ่งวางขายสินค้าทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศเกาหลีใต้มีแชร์ถึง 9% มากกว่าประเทศไทยที่มีแชร์ 7% จะเห็นว่า ดร.แสงสุข พิทยานุกุล ใช้ความเข้าใจในการดำเนินธุรกิจ ตั้งแต่เข้าใจสินค้าเข้าใจสถานการณ์เข้าใจตลาดไปจนถึงการเข้าใจความต้องการของมนุษย์ในวันนี้

จุดเด่นของเภสัชกร ดร.แสงสุข ที่น่าสนใจคือการผสมผสานระหว่างนวัตกรรมใหม่กับการตลาดได้ตรงจุดทำให้ท่านเป็นที่รู้จักในเรื่องนิชมาร์เก็ตติ้ง คือทำการตลาดเฉพาะให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย ที่ถือว่าเป็นแบบอย่างทางเลือกหนึ่งของผู้ประกอบการที่กำลังมองหาช่องทางใหม่ในการทำการตลาดที่แข่งขันสูงมากในขณะนี้ โดยที่เขามองว่าข้อดีของนิช มาร์เก็ตคือ บริษัทใหญ่ๆ นั้นใหญ่เกินกว่าที่จะทำงานเล็ก ๆ และจะทิ้งตรงส่วนนี้ให้เราเข้าไปเก็บเกี่ยวได้อีกนาน แต่แม้จะอยู่ในนิช มาร์เก็ตเขาก็ชอบที่จะมีคู่แข่ง เพราะเขาเชื่อว่า โลกของธุรกิจก็เหมือนกับการวิ่งแข่ง ถ้าไม่มีคนมาวิ่งแข่งกับเรา เราก็จะไม่มีทางวิ่งได้เร็ว

นอกจากนี้ เขายังรู้จักพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส โดยในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งเป็นช่วงที่หลายๆ ธุรกิจถดถอยแต่คุณแสงสุขกลับตัดสินใจทุ่มงบโฆษณาและการตลาดเพื่อสร้างแบรนด์อย่างเต็มที่ เพราะต้นทุนเหล่านี้ถูกมาก ทำให้แบรนด์ของสมูท อี แจ้งเกิดอย่างเต็มตัวนับแต่วันนั้นเป็นต้นมา

วิธีคิดที่แตกต่างของบุคคลท่านนี้อีกอย่างคือ การคิดนอกกรอบและความกล้า พร้อมที่จะลองผิดลองถูก แต่ถ้าทำแล้วเจอปัญหาไม่ประสบความสำเร็จก็ให้หัวเราะ ให้ตั้งเป้าไว้เลยว่า วางแผนทำไป 10 อย่าง อาจต้องเจอปัญหา 9 อย่าง สำเร็จ 1 อย่างก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว

สิ่งที่ตามมาคือแพ็กเกจจิ้ง ดีไซน์ต้องดีดูมีมูลค่าและการเปรียบเทียบไม่ใช่แค่ในตลาดเมืองไทยแต่หากจะคิดการณ์ใหญ่ไปตลาดระดับโลกแพ็กเกจจิ้งก็ต้องไม่แพ้แบรนด์อื่นๆ ในตลาดโลกด้วย

ทั้งนี้ สิ่งที่แตกต่างระหว่างผู้ประกอบการ (Entrepreneur)และเจ้าของธุรกิจ (Business Owner) คือวิสัยทัศน์และวิชั่น แนวคิดและมุมมองในการบริหารงานซึ่งเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ยกตัวอย่างเช่น ไอเดียของผู้ประกอบการจะมีความคิดสร้างสรรรค์มากมาย ขณะที่เจ้าของธุรกิจมีความคิดเพื่อแก้ปัญหาไปวันๆ ผู้ประกอบการจะมุ่งมั่นสู่อนาคต ส่วนเจ้าของธุรกิจชีวิตมักอยูกับปัจจุบัน ผู้ประกอบการมักนำเสนอนวัตกรรมและสิ่งแปลกใหม่ให้ทันโลก ขณะที่เจ้าของธุรกิจนำเสนอสิ่งที่มีอยู่แล้ว ไม่กล้าเปลี่ยนแปลง ประการสำคัญ เจ้าของธุรกิจไม่มีการปรับตัว ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง ส่วนผู้ประกอบการ รู้จักการปรับตัวและเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา เป็นต้น


ที่สำคัญ ดร.แสงสุข ยังได้นำเสนอ 4PS ที่ผู้ประกอบการต้องมี ดังนี้

Passion ความกล้าและความบ้า
Pracitice การลงมือทำ
Persistence ล้มแล้วกล้าที่จะลุก
Perseverance ต้องทนต่อความเจ็บปวดให้ได้

“เซลส์ที่ขายเก่งที่สุดในโลก ไม่ต้องขายของ มาร์เก็ตติ้งที่เก่งที่สุดในโลก ไม่ต้องทำมาร์เก็ตติ้ง เราต้องหาคนซื้อให้ได้ก่อน เพราะตอนนี้คนซื้อของด้วย 3 ปัจจัยคือ Relation Story Telling และ Magic คนซื้อสินค้าด้วยอารมณ์ 90% ซื้อด้วยเหตุผลเพียง 10% เท่านั้น เราต้องได้ใจลูกค้าขณะเดียวกันก็ต้องได้ใจลูกน้องด้วย”

และนี่ความสำเร็จของผู้ชายที่มี Passion “ภก.ดร.แสงสุข พิทยานุกุล

Related Articles

Back to top button
X
%d bloggers like this: